เทคนิค Time Blocking จัดเวลาเป็นช่องๆ เพื่อเพิ่มสมาธิ

เขียนโดย: ทีมงาน TidMor1 | เผยแพร่เมื่อ: 30 กันยายน 2568

Time Blocking จัดตารางเวลา เพิ่มสมาธิ เตรียมสอบ ม.1 บริหารเวลา

สวัสดีครับน้องๆ นักเรียนชั้น ป.6 - ม.1 และคุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน เคยไหมครับที่รู้สึกว่า "เวลาไม่พอ" ทั้งที่วันนึงก็มี 24 ชั่วโมงเท่ากัน หรือบางทีน้องๆ ก็รู้สึกว่ามีเรื่องต้องทำเยอะไปหมด ทั้งการบ้าน ติวสอบ กิจกรรมพิเศษ แถมยังมีเวลาเล่นเกม เล่นโซเชียลอีก พอทำอะไรพร้อมกันหลายๆ อย่าง ก็กลายเป็นว่าไม่มีอะไรเสร็จเลย หรือทำเสร็จแต่ก็ไม่เต็มที่

คุณพ่อคุณแม่เองก็อาจจะกังวลว่าลูกๆ จะจัดสรรเวลาอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อใกล้ช่วงเวลาสำคัญอย่างการสอบเข้า ม.1 ที่ทุกนาทีมีค่า การมีสมาธิกับการอ่านหนังสือและการทำโจทย์ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ใช่ไหมครับ?

ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่หลายคนเจอครับ แต่ไม่ต้องกังวลไปนะ! วันนี้พี่ๆ TidMor1 จะมาแนะนำ "เทคนิค Time Blocking" หรือการ "จัดเวลาเป็นช่องๆ" ที่จะช่วยให้น้องๆ สามารถเพิ่มสมาธิ และบริหารจัดการชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนนะ แต่รวมถึงเรื่องเล่น เรื่องพักผ่อนด้วย มาดูกันว่าเทคนิคนี้จะช่วยให้ชีวิตน้องๆ เป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไรบ้างครับ

Time Blocking คืออะไร? เหมือนกับการจัดตารางเรียนเฉยๆ หรือเปล่า?

น้องๆ หรือคุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการจัดตารางเรียนใช่ไหมครับ? เช่น คาบนี้เรียนเลข คาบหน้าเรียนวิทย์ แต่ Time Blocking มันพิเศษกว่านั้นอีกนิดนึงครับ

ลองจินตนาการว่าเวลาในแต่ละวันของเราเป็นเหมือนกับแผนที่เปล่าๆ ครับ แทนที่เราจะแค่ลิสต์สิ่งที่ต้องทำลงไปเฉยๆ แบบ to-do list ที่มีแต่รายการยาวๆ (ที่บางทีก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน)

เทคนิค Time Blocking คือการที่เรา "จอง" ช่วงเวลาในแต่ละวันไว้สำหรับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งโดยเฉพาะครับ เหมือนกับการที่เราจองตั๋วหนัง หรือจองโต๊ะในร้านอาหารเลยครับ พอถึงเวลานั้น เราก็จะรู้ว่าต้องทำอะไร และจะโฟกัสอยู่กับสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียว ทำให้เพิ่มสมาธิได้ดีขึ้นมาก

  • จองเวลาชัดเจน: ไม่ใช่แค่บอกว่า "จะทำการบ้านวิทย์" แต่คือ "19.00 - 20.00 น. ทำการบ้านวิทย์อย่างเดียว"
  • โฟกัสทีละอย่าง: เมื่อเรากำหนดชัดเจนแล้วว่าช่วงเวลานี้ทำอะไร เราก็จะหลีกเลี่ยงการทำหลายสิ่งพร้อมกัน หรือที่เรียกว่า Multitasking ซึ่งจริงๆ แล้วทำให้ประสิทธิภาพลดลง
  • มองเห็นภาพรวม: การจัดตารางเป็นช่องๆ ทำให้เรามองเห็นภาพรวมของวันหรือสัปดาห์ได้ชัดเจนขึ้นว่ามีเวลาว่างตรงไหน ต้องทำอะไรบ้าง และเวลาที่เรามีถูกใช้อย่างไร

มันเป็นเหมือนการสร้าง "นัดหมาย" กับตัวเองครับ น้องๆ เคยผิดนัดกับเพื่อนไหมครับ? ปกติเราก็จะไม่ค่อยอยากผิดนัดเพื่อนใช่ไหมครับ? การจัดเวลาเป็นช่องๆ แบบ Time Blocking ก็จะสร้างความรู้สึกแบบนั้นแหละครับ ทำให้เรามีวินัยกับตัวเองมากขึ้น

ทำไม Time Blocking ถึงสำคัญต่อน้องๆ วัยเรียน โดยเฉพาะ ป.6 - ม.1?

ช่วง ป.6 - ม.1 เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมากเลยครับ น้องๆ กำลังจะเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่านจากประถมสู่มัธยม มีบทเรียนที่ซับซ้อนขึ้น กิจกรรมที่มากขึ้น และที่สำคัญคือต้องเตรียมตัวสำหรับสอบเข้า ม.1 การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นหัวใจสำคัญเลยครับ และ Time Blocking คือคำตอบที่ใช่ เพราะ:

  • ช่วยเพิ่มสมาธิ ลดสิ่งรบกวน: เมื่อเรารู้ว่าช่วงเวลานี้ต้องทำอะไร เราจะสามารถปิดสิ่งรบกวนต่างๆ เช่น การแจ้งเตือนจากมือถือ หรือโทรทัศน์ แล้วจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำได้เต็มที่ ทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นและมีคุณภาพมากขึ้น
  • ลดความเครียดและอาการผัดวันประกันพรุ่ง: น้องๆ เคยรู้สึกไหมว่ามีงานกองพะเนินเต็มไปหมดแล้วไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี? ความรู้สึกท่วมท้นนี้ทำให้เราเครียดและอยากผลัดไปก่อน แต่พอเรามีตาราง Time Blocking ที่ชัดเจน เราจะรู้ว่าต้องทำอะไรตอนไหน มันจะช่วยให้เราเริ่มลงมือทำได้ง่ายขึ้น และลดความกังวลลงได้เยอะเลยครับ
  • เห็นภาพรวมของเวลาที่ใช้ไป: บางทีเราอาจจะคิดว่าเราเรียนเยอะแล้ว แต่พอใช้ Time Blocking เราจะเห็นเลยว่าเราใช้เวลาไปกับอะไรบ้างจริงๆ และจะทำให้เราปรับปรุงการใช้เวลาให้เหมาะสมกับเป้าหมายได้
  • สร้างวินัยและความรับผิดชอบ: การทำตามตารางที่วางไว้เป็นประจำจะช่วยสร้างวินัยที่ดีให้กับน้องๆ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ไม่ใช่แค่เรื่องเรียน แต่ยังรวมไปถึงการใช้ชีวิตในอนาคตด้วย
  • มีเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ชอบ: Time Blocking ไม่ใช่แค่จัดเวลาเรียนนะครับ แต่ยังรวมถึงเวลาพัก เวลาเล่น และเวลาทำกิจกรรมที่ชอบด้วย การที่เราจัดเวลาพักผ่อนไว้ชัดเจน จะช่วยให้น้องๆ ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายหรือหมดไฟกับการเรียน และสามารถ recharge ตัวเองได้เต็มที่
  • เตรียมพร้อมสำหรับการสอบเข้า ม.1: สำหรับน้องๆ ที่กำลังเตรียมสอบเข้า ม.1 การใช้ Time Blocking จะช่วยให้สามารถจัดสรรเวลาอ่านหนังสือในแต่ละวิชาได้อย่างครบถ้วน มีเวลาทบทวนบทเรียน ทำโจทย์ และวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองได้อย่างมีระบบ ทำให้การเตรียมตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุดครับ

จะเห็นได้ว่า เทคนิค Time Blocking ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือในการบริหารเวลาเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเอง พัฒนาวินัย และบรรลุเป้าหมายได้อย่างแท้จริงครับ

เริ่มต้นใช้ Time Blocking อย่างไรดี? ทำตาม 6 ขั้นตอนนี้ได้เลย!

เอาล่ะครับ! มาถึงช่วงสำคัญที่เราจะลงมือทำจริงกันแล้ว พี่จะอธิบายแบบง่ายๆ เป็นขั้นตอน ให้น้องๆ และคุณพ่อคุณแม่สามารถทำตามได้ทันที ไม่ต้องกลัวว่ามันจะยุ่งยากนะครับ เพราะหลักการของ Time Blocking คือความเรียบง่ายและยืดหยุ่น

1. เตรียมอุปกรณ์คู่ใจ (ไม่จำเป็นต้องหรูหรา)

ก่อนอื่นเลย เรามาเตรียมเครื่องมือกันก่อนครับ จะเป็นอะไรก็ได้ที่น้องๆ ถนัดและชอบใช้ เพื่อให้รู้สึกอยากทำตามตารางที่วางไว้

  • สมุดแพลนเนอร์/ปฏิทิน: แบบรายวันหรือรายสัปดาห์ก็ได้ครับ เลือกแบบที่มีช่องให้เขียนเยอะๆ หน่อย
  • แอปพลิเคชันปฏิทิน: เช่น Google Calendar, Apple Calendar หรือแอปอื่นๆ ที่ใช้บนมือถือหรือแท็บเล็ต น้องๆ บางคนอาจจะชอบแบบดิจิทัล เพราะสามารถเลื่อนปรับเปลี่ยนได้ง่าย
  • ปากกาหลายสี/ดินสอสี: ช่วยให้ตารางดูน่าสนใจ และแบ่งประเภทกิจกรรมได้ชัดเจนขึ้น

จำไว้นะครับว่าไม่จำเป็นต้องลงทุนเยอะ แค่มีสิ่งที่ช่วยให้น้องๆ สามารถเขียนหรือพิมพ์ตารางเวลาลงไปได้ก็พอแล้วครับ

2. ลิสต์ทุกสิ่งที่ต้องทำ (สมองจะได้โล่ง!)

ขั้นตอนนี้สำคัญมากครับ! ให้เขียนรายการทุกอย่างที่ต้องทำออกมาให้หมด ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามครับ

  • เรื่องเรียน: การบ้านวิชาอะไรบ้าง? อ่านหนังสือบทไหน? ทำโจทย์วิทยาศาสตร์กี่ข้อ? ทบทวนวิชาภาษาไทย?
  • เรื่องส่วนตัว: อาบน้ำ, กินข้าว, ออกกำลังกาย, ช่วยงานบ้าน, พักผ่อน, ดูหนัง, เล่นเกม, เล่นกับน้องหมาน้องแมว
  • เรื่องกิจกรรมพิเศษ: ไปเรียนพิเศษ, ติวเตอร์, กีฬา, ดนตรี, ชมรม

เขียนออกมาให้หมดเลยนะครับ ไม่ต้องจัดเรียงอะไรก่อน แค่ให้มันออกมาจากความคิดเราก่อนครับ พอเขียนออกมาแล้วน้องๆ จะเห็นภาพรวมของภาระงานทั้งหมด และสมองก็จะรู้สึกโล่งขึ้นทันทีเลยล่ะครับ

3. กำหนดเวลาตายตัว (Non-negotiables)

ในแต่ละวันของเรา จะมีช่วงเวลาที่เราไม่สามารถขยับได้เลยครับ เช่น เวลาเข้าเรียน, เวลาเรียนพิเศษ, หรือเวลานอน ให้เขียนช่วงเวลาเหล่านี้ลงไปในตาราง Time Blocking ของน้องๆ ก่อนเป็นอันดับแรกเลยครับ

  • ตื่นนอน: 06.00 น.
  • เตรียมตัวไปโรงเรียน: 06.00 - 07.00 น.
  • เรียนที่โรงเรียน: 08.00 - 16.00 น.
  • เรียนพิเศษ/กิจกรรม: 17.00 - 18.00 น.
  • กินข้าวเย็น: 18.30 - 19.00 น.
  • เข้านอน: 22.00 น.

การทำแบบนี้จะทำให้เราเห็น "ช่องว่าง" ของเวลาที่เรามีอยู่จริงสำหรับกิจกรรมอื่นๆ ครับ

4. จัดสรรช่วงเวลาโฟกัส (Focus Blocks)

คราวนี้มาถึงหัวใจของ Time Blocking เลยครับ! จากรายการสิ่งที่ต้องทำในข้อ 2 และช่องว่างเวลาที่เหลือ ให้เราจัดสรร "ช่องเวลา" สำหรับแต่ละงานลงไปในตารางครับ

  • เน้นงานที่สำคัญ: งานที่ต้องใช้สมาธิสูง เช่น การอ่านหนังสือเตรียมสอบ, การทำโจทย์วิทยาศาสตร์ยากๆ ให้วางไว้ในช่วงที่น้องๆ รู้สึกสดชื่นที่สุด (บางคนอาจจะเช้า บางคนอาจจะเย็น)
  • แบ่งงานใหญ่เป็นส่วนย่อย: ถ้ามีงานที่ใหญ่มากๆ เช่น "อ่านหนังสือเตรียมสอบวิทยาศาสตร์ทั้งเล่ม" ให้แบ่งเป็นส่วนย่อยๆ ครับ เช่น "อ่านบทที่ 1: ระบบร่างกาย", "ทำโจทย์วิทยาศาสตร์ บทที่ 1" แล้วแบ่งเป็น Time Blocking สั้นๆ เช่น 45-60 นาทีต่อครั้ง
  • กำหนดเวลาพัก: อย่าลืมจัดช่องเวลาพักสั้นๆ ระหว่างงานหนักๆ ด้วยนะครับ เช่น ทำงาน 45 นาที พัก 15 นาที หรือตามเทคนิค Pomodoro ก็ได้ เพื่อให้สมองได้พักและสามารถกลับมาเพิ่มสมาธิได้ใหม่
  • ประเมินเวลาให้เหมาะสม: การประเมินเวลาเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนครับ ในช่วงแรกน้องๆ อาจจะกะเวลาไม่ค่อยถูก แต่ไม่เป็นไรครับ ลองดูว่าแต่ละกิจกรรมใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ แล้วค่อยๆ ปรับแก้ในสัปดาห์ถัดไป

ลองนึกภาพเหมือนน้องๆ กำลังวางตัวต่อเลโก้ลงในพื้นที่ว่างๆ ครับ แต่ละชิ้นคือกิจกรรมที่เราต้องทำ พยายามวางให้ลงตัวพอดีในแต่ละช่องเวลา

5. ใส่เวลา Buffer และยืดหยุ่น (Flexibility is Key)

ชีวิตจริงไม่ได้เป็นไปตามแผนเสมอไปครับ! บางทีก็มีเรื่องด่วนเข้ามา หรือเราอาจจะใช้เวลาทำกิจกรรมบางอย่างนานกว่าที่คิดไว้ ดังนั้น Time Blocking ที่ดีควรมีความยืดหยุ่นด้วยครับ

  • เวลา Buffer: เว้นช่องว่างเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างกิจกรรม เช่น 5-10 นาที เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับกิจกรรมถัดไป หรือใช้เป็นเวลาที่เผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
  • ปรับเปลี่ยนได้: ถ้าวันไหนทำไม่ได้ตามแผน ไม่เป็นไรครับ! Time Blocking เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เรามีไกด์ไลน์ แต่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ แค่พยายามกลับมาทำตามแผนในวันถัดไป
  • เวลาว่าง/เวลาเล่น: อย่าลืมจัดสรรเวลาสำหรับสิ่งที่น้องๆ ชอบทำ เช่น เล่นเกม ดูการ์ตูน เล่นกีฬา หรือพูดคุยกับเพื่อนๆ ด้วยนะครับ การมีเวลาพักผ่อนและทำในสิ่งที่ชอบจะช่วยให้เรามีพลังงานและอารมณ์ดีพร้อมรับมือกับการเรียนมากขึ้น

จำไว้ว่าเป้าหมายคือการทำให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่การสร้างความเครียดเพิ่มขึ้นนะครับ!

6. ทบทวนและปรับปรุง (Improve Each Week)

เมื่อลองใช้ Time Blocking ไปสักระยะแล้ว ประมาณปลายสัปดาห์ ให้เรามานั่งทบทวนตารางของตัวเองดูครับ

  • อะไรทำได้ดี? มีกิจกรรมไหนที่น้องๆ ทำได้ตามแผนเป๊ะๆ บ้าง? สมาธิเป็นอย่างไรบ้าง?
  • อะไรต้องปรับปรุง? มีกิจกรรมไหนที่ใช้เวลานานเกินไป หรือสั้นเกินไปบ้าง? มีช่วงเวลาไหนที่เราเสียไปโดยเปล่าประโยชน์บ้าง?
  • รู้สึกอย่างไร? ตารางนี้ทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงไหม? รู้สึกเครียดน้อยลงไหม? มีเวลาเหลือมากขึ้นไหม?

การทบทวนและปรับปรุงเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญครับ ยิ่งเราฝึกฝนมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเข้าใจตัวเองและสามารถวางแผน Time Blocking ได้เหมาะสมกับสไตล์การเรียนรู้และชีวิตของเรามากขึ้นเท่านั้น

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับน้องๆ และคุณพ่อคุณแม่

สำหรับน้องๆ

  • เริ่มจากจุดเล็กๆ: ไม่ต้องพยายามจัดตารางให้เป๊ะทุกนาทีตั้งแต่แรกครับ ลองเริ่มจัดแค่ 2-3 ช่องเวลาสำคัญก่อน เช่น เวลาทำการบ้าน เวลาอ่านหนังสือ แล้วค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ
  • บอกคุณพ่อคุณแม่: ชวนคุณพ่อคุณแม่มาช่วยวางแผนและช่วยเตือนน้องๆ ได้ครับ การมีคนในครอบครัวคอยสนับสนุนจะช่วยให้ทำตามแผนได้ง่ายขึ้น
  • ให้รางวัลตัวเอง: เมื่อทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ กับตัวเองบ้างครับ เช่น ได้ดูหนังที่ชอบ ได้เล่นเกมเพิ่ม 30 นาที สิ่งเล็กๆ เหล่านี้จะช่วยสร้างแรงจูงใจได้ดีเลยล่ะ
  • ปิดสิ่งรบกวน: เวลาที่น้องๆ เข้าสู่ช่วง Focus Block หรือช่วงเวลาที่ต้องใช้สมาธิสูงๆ ให้ปิดการแจ้งเตือนจากมือถือ หรือถ้าเป็นไปได้ให้วางโทรศัพท์ไว้ห่างตัวเลยครับ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่

  • เป็นตัวอย่างที่ดี: คุณพ่อคุณแม่ลองใช้ Time Blocking ในการจัดตารางชีวิตประจำวันของตัวเองบ้างก็ได้ครับ น้องๆ จะได้เห็นว่าการบริหารเวลาเป็นเรื่องปกติและทำได้จริง
  • ให้กำลังใจ ไม่กดดัน: การสร้างวินัยต้องใช้เวลาครับ ให้กำลังใจเมื่อน้องๆ ทำได้ และเข้าใจหากบางวันแผนไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ อย่ากดดันมากเกินไปครับ
  • สังเกตและปรับเปลี่ยน: สังเกตว่าช่วงเวลาไหนที่น้องๆ มีสมาธิในการเรียนมากที่สุด แล้วช่วยกันปรับตาราง Time Blocking ให้เข้ากับธรรมชาติของลูกครับ
  • สื่อสารและเข้าใจ: พูดคุยกับลูกบ่อยๆ ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับการใช้ Time Blocking มีปัญหาอะไรไหม เพื่อที่จะได้ช่วยกันหาทางแก้ไขครับ

สรุป: Time Blocking เครื่องมือจัดเวลาเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

เทคนิค Time Blocking ไม่ใช่แค่การจัดตารางเวลาทั่วไปครับ แต่มันคือการ "ลงทุน" ในเวลาของเราอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ทุกนาทีที่ผ่านไปมีคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด พี่หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้น้องๆ และคุณพ่อคุณแม่ได้เข้าใจและนำ Time Blocking ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อยนะครับ

การจัดเวลาเป็นช่องๆ แบบนี้จะช่วยให้น้องๆ มีสมาธิในการเรียนมากขึ้น ลดความวุ่นวายในหัว ลดความเครียด และที่สำคัญคือ มีเวลาเหลือไปทำในสิ่งที่ชอบได้อย่างเต็มที่ ทำให้ชีวิตน้องๆ มีความสุขและสมดุลมากขึ้น

จำไว้นะครับว่า การเตรียมสอบเข้า ม.1 ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าน้องๆ อ่านหนังสือมากแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่าน้องๆ อ่านอย่างมีคุณภาพและมีสมาธิแค่ไหนต่างหากครับ การใช้ Time Blocking จะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในการเดินทางครั้งสำคัญนี้ และพี่ๆ TidMor1 ก็ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้นะครับ!

และหากการวางแผนนี้ทำให้น้องๆ หรือคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าการตะลุยโจทย์วิทยาศาสตร์คือสิ่งสำคัญ ทีมงาน TidMor1 ขอแนะนำ "ข้อสอบเข้า ม.1 วิทยาศาสตร์ 3,000 ข้อ" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบที่หลากหลาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ TidMor1.com นะครับ