สวัสดีครับน้องๆ และคุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน เคยไหมครับที่เปิดหนังสือเรียน หรือหนังสือเตรียมสอบเล่มหนาๆ ขึ้นมาดู แล้วรู้สึกว่า “โอ้โห! มันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ จะอ่านจบเมื่อไหร่เนี่ย?” บางทีเห็นแล้วก็ถอดใจ ไม่อยากแม้แต่จะเริ่มต้นเลยใช่ไหมครับ?
คุณพ่อคุณแม่เองก็คงเคยเห็นแววตาหนักใจของลูกๆ เวลาเจอหนังสือหนาๆ กองอยู่เต็มโต๊ะ แล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าลูกจะอ่านทันไหม จะเตรียมตัวสอบเข้า ม.1 ได้อย่างเต็มที่หรือเปล่า?
ปัญหาเรื่องหนังสือเล่มหนานี่เป็นเรื่องปกติที่พี่เข้าใจดีเลยครับ มันเป็นความท้าทายที่หลายคนต้องเจอ แต่ข่าวดีก็คือ! มันมีวิธีจัดการกับมันได้ครับ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องท้อ วันนี้พี่ๆ ทีมงาน TidMor1 จะมาแนะนำเทคนิคและเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้น้องๆ สามารถ แบ่งหนังสือ อ่านจบ ได้อย่างสบายๆ มีกำลังใจ และสนุกกับการอ่านมากขึ้น ไม่ว่าหนังสือจะหนาสักแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปครับ มาเริ่มกันเลย!
ทำไมหนังสือเล่มหนาถึงเป็นอุปสรรค?
ก่อนที่เราจะไปรู้เทคนิค แบ่งหนังสือ อ่านจบ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทำไมแค่เห็นหนังสือเล่มหนาๆ ก็ทำให้เราท้อได้ง่ายๆ กันนะ?
ความรู้สึกท้อแท้ตั้งแต่แรกเห็น
ลองจินตนาการถึงภูเขาลูกใหญ่ๆ ที่อยู่ตรงหน้าดูสิครับ น้องๆ คงรู้สึกว่ามันสูงชันเกินกว่าจะปีนขึ้นไปถึงยอดได้หมดในคราวเดียวใช่ไหม? หนังสือเล่มหนาก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กันครับ เพียงแค่เห็นปริมาณเนื้อหาที่มากมาย ก็ทำให้รู้สึกท่วมท้นและท้อแท้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เปิดอ่านเลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกนี้แหละครับที่เป็นกำแพงกั้นเราจากการเริ่มต้น
การขาดแรงจูงใจ
เมื่อเรามองไม่เห็นปลายทางที่ชัดเจน หรือรู้สึกว่าเป้าหมายมันไกลเกินเอื้อม แรงจูงใจก็จะค่อยๆ ลดลงครับ การอ่านหนังสือเล่มหนาๆ โดยไม่มีการวางแผน เหมือนการเดินป่าโดยไม่มีแผนที่ มันทำให้เราไม่รู้ว่าจะไปถึงไหน และเมื่อไหร่จะถึง ทำให้ไฟในการอ่านมอดลงไปเรื่อยๆ ครับ
การจัดสรรเวลาที่ผิดพลาด
หลายคนอาจจะพยายามอ่านรวดเดียวให้อ่านจบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับหนังสือเล่มหนาๆ ครับ การทำแบบนี้มักจะนำไปสู่ความเหนื่อยล้า เบื่อหน่าย และสุดท้ายก็อาจจะทิ้งหนังสือไปกลางคันเลยก็ได้ เพราะร่างกายและสมองของเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อ่านเนื้อหาปริมาณมากๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ครับ
หลักการสำคัญของการ 'แบ่งหนังสือ อ่านจบ'
การจะ แบ่งหนังสือ อ่านจบ ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่แค่การอ่านไปเรื่อยๆ ครับ แต่ต้องมีหลักคิดที่ถูกต้องด้วย หลักการเหล่านี้จะช่วยให้น้องๆ มีแนวทางที่มั่นคง และทำให้การอ่านเป็นเรื่องที่ทำได้จริงและสนุกขึ้นครับ
เปลี่ยนจาก 'ภูเขาทั้งลูก' เป็น 'ก้อนหินเล็กๆ'
หลักการนี้คือหัวใจสำคัญเลยครับ แทนที่จะมองว่าต้องพิชิตหนังสือทั้งเล่ม ลองเปลี่ยนความคิดใหม่เป็นการ “แบ่งหนังสือ” เล่มใหญ่ออกเป็นส่วนย่อยๆ ที่จัดการได้ง่ายขึ้นครับ เช่น แบ่งเป็นบท เป็นหัวข้อ หรือเป็นจำนวนหน้าในแต่ละวัน เหมือนเราไม่ได้จะยกภูเขาทั้งลูก แต่แค่ค่อยๆ เก็บก้อนหินเล็กๆ ทีละก้อนไปเรื่อยๆ นั่นเองครับ
สร้างความสม่ำเสมอ ดีกว่าอัดหนักๆ
การอ่านวันละนิด วันละหน่อย แต่ทำอย่างสม่ำเสมอ ดีกว่าการอัดอ่านหนักๆ ทีเดียวแล้วหมดแรงไปเลยครับ การสร้างนิสัยการอ่านทีละน้อยแต่ต่อเนื่อง จะช่วยให้สมองคุ้นชินกับการเรียนรู้ และสามารถจดจำเนื้อหาได้ดีกว่าการยัดข้อมูลในครั้งเดียว นอกจากนี้ยังช่วยให้เราไม่รู้สึกเบื่อหรือเหนื่อยกับการอ่านจนเกินไปอีกด้วย
ให้รางวัลกับตัวเองบ้าง
เมื่อน้องๆ สามารถ แบ่งหนังสือ อ่านจบ ได้ในส่วนเล็กๆ ที่ตั้งใจไว้แล้ว อย่าลืมให้รางวัลกับตัวเองบ้างนะครับ! ไม่จำเป็นต้องเป็นของรางวัลชิ้นใหญ่โตอะไร อาจจะเป็นการดูการ์ตูนเรื่องโปรดสัก 1 ตอน เล่นเกมเล็กน้อย ฟังเพลง หรือพักดื่มนมอร่อยๆ การให้รางวัลตัวเองจะช่วยสร้างแรงจูงใจและทำให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข ทำให้การอ่านหนังสือเป็นประสบการณ์ที่ดีครับ
5 เทคนิคพิชิตหนังสือเล่มหนาให้ 'แบ่งหนังสือ อ่านจบ' ได้จริง
มาถึงช่วงที่สำคัญที่สุดแล้วครับ! พี่จะพาน้องๆ ไปดู 5 เทคนิคที่จะช่วยให้การ แบ่งหนังสือ อ่านจบ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่น้องๆ ทำได้จริงแน่นอน ขอให้ตั้งใจอ่านและลองนำไปปรับใช้ดูนะครับ
เทคนิคที่ 1: กำหนดเป้าหมายการอ่านให้ชัดเจนเหมือนมีแผนที่นำทาง
ก่อนจะเริ่มอ่าน น้องๆ ต้องรู้ก่อนว่าวันนี้จะอ่านอะไรและอ่านไปถึงไหนครับ เหมือนการเดินทางที่เราต้องรู้จุดหมายและเส้นทาง เทคนิคนี้จะช่วยลดความกังวลและทำให้การเริ่มต้นง่ายขึ้นเยอะเลยครับ
- แบ่งเป็นหน่วยย่อย: ลองเปิดสารบัญดู แล้วกำหนดเลยว่าวันนี้จะอ่าน “หนึ่งบท” หรือ “หนึ่งหัวข้อหลัก” หรือถ้าเนื้อหาเยอะมาก อาจจะ แบ่งหนังสือ เป็น “จำนวนหน้า” เช่น วันนี้อ่าน 10 หน้าก็พอ
- ตั้งเวลาอ่านสั้นๆ แต่บ่อยๆ: แทนที่จะตั้งเป้าว่าอ่าน 2 ชั่วโมงรวด ลองเปลี่ยนเป็นอ่านครั้งละ 25-30 นาที แล้วพัก 5-10 นาที (ที่เรียกว่า Pomodoro Technique) วิธีนี้ช่วยให้สมองเรามีสมาธิจดจ่อได้ดีขึ้น และไม่รู้สึกเหนื่อยล้าง่ายครับ
- เขียนเป้าหมาย: จดเป้าหมายการอ่านของแต่ละวันลงในสมุดหรือปฏิทิน เมื่อทำได้ก็ขีดฆ่าทิ้ง มันจะสร้างความรู้สึกประสบความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ที่มีพลังมากเลยนะ!
เทคนิคที่ 2: ใช้ 'ไม้บรรทัด' แบ่งพื้นที่ และ 'ปากกาไฮไลต์' สร้างสัญลักษณ์
บางทีแค่เห็นเล่มหนาก็ท้อแล้วใช่ไหมครับ? ลองใช้เทคนิคที่มองเห็นได้จริงเพื่อช่วยให้รู้สึกว่าหนังสือมันเล็กลงได้ครับ
- ใช้โพสต์อิท/คลิป/ยางรัดผม แบ่งส่วน: เลือกจำนวนหน้าหรือบทที่ตั้งใจจะอ่าน แล้วใช้โพสต์อิทคั่นไว้ หรือใช้คลิปหนีบ แบ่งเป็นส่วนๆ ที่เราจะ อ่านจบ ในแต่ละครั้ง พออ่านจบส่วนหนึ่ง ก็ย้ายโพสต์อิทไปส่วนถัดไป มันจะทำให้เรารู้สึกว่า “โอเค... วันนี้อ่านถึงตรงนี้ ได้เท่านี้แล้ว” เหมือนมีการเคลียร์ด่านเล็กๆ ครับ
- ไฮไลต์และจดโน้ต: การอ่านอย่างเดียวบางทีก็เบื่อ ลองใช้ปากกาไฮไลต์สีสันสดใสขีดเน้นประเด็นสำคัญ หรือจดโน้ตสั้นๆ สรุปเนื้อหาในหน้าว่างๆ ครับ การทำแบบนี้จะทำให้น้องๆ ได้ทบทวนเนื้อหาไปในตัว และยังทำให้หนังสือดูมีสีสันน่าอ่านมากขึ้นด้วย
เทคนิคที่ 3: กำหนดเวลา 'อ่าน' และเวลา 'พัก' ให้บาลานซ์
สมองของเราก็เหมือนร่างกายครับ ต้องการการพักผ่อน การอ่านที่ต่อเนื่องและยาวนานเกินไป ไม่ได้แปลว่าจะจำได้มากขึ้นเสมอไปนะ
- อ่านแบบเป็นช่วง: กำหนดเวลาอ่านที่ชัดเจน เช่น อ่าน 45 นาที พัก 15 นาที หรือ อ่าน 1 ชั่วโมง พัก 20 นาที ในช่วงที่พัก น้องๆ ควรลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ พักสายตาจากหน้ากระดาษ เพื่อให้สมองได้ผ่อนคลาย และกลับมาสดชื่นพร้อมอ่านต่อครับ
- หลีกเลี่ยงการอ่านเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า: หากรู้สึกเหนื่อย หรือง่วงมากๆ การฝืนอ่านไปก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร ลองพักผ่อนก่อน แล้วค่อยกลับมาอ่านเมื่อร่างกายและสมองพร้อมจะรับข้อมูลใหม่ๆ จะดีกว่าครับ การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มต้นจากร่างกายที่พร้อมเสมอ
เทคนิคที่ 4: สร้าง 'Checkpoint' และ 'Challenge' เล็กๆ น้อยๆ
การสร้างความท้าทายเล็กๆ และจุดตรวจสอบความก้าวหน้า จะช่วยให้น้องๆ รู้สึกสนุกและมีแรงฮึดในการ แบ่งหนังสือ อ่านจบ ได้ตลอดเส้นทางครับ
- ตั้ง 'Checkpoint' หลังอ่านจบแต่ละส่วน: เมื่อ แบ่งหนังสือ อ่านจบ บทหนึ่ง หรือครบตามจำนวนหน้าที่กำหนดแล้ว ลองปิดหนังสือแล้วตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า "เมื่อกี้เราได้อ่านอะไรไปบ้างนะ?" "ใจความสำคัญคืออะไร?" หรือลองอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่ฟังก็ได้ การทำแบบนี้จะช่วยให้มั่นใจว่าเราเข้าใจเนื้อหาจริงๆ และยังช่วยให้จำได้แม่นขึ้นด้วยครับ
- สร้าง 'Challenge' ส่วนตัว: อาจจะตั้งเป้าหมายเล็กๆ เช่น "ถ้าอ่านจบ 3 บท จะลองทำแบบฝึกหัดท้ายบทดู" หรือ "ถ้าอ่านจบครึ่งเล่ม จะชวนเพื่อนมาสรุปเนื้อหาให้กันฟัง" การท้าทายตัวเองแบบนี้จะช่วยให้น้องๆ ไม่เบื่อ และมีเป้าหมายที่สนุกสนานให้ติดตาม
- ฉลองความสำเร็จเล็กๆ: ไม่ว่าจะเป็นการติ๊กเครื่องหมายถูกในตารางการอ่าน ให้สติกเกอร์รูปดาวกับตัวเอง หรือขอให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยจัดขนมอร่อยๆ มาให้เล็กน้อย การฉลองเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้จะสร้างกำลังใจให้เราอยากไปต่อครับ
เทคนิคที่ 5: จัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการอ่าน และกำจัดสิ่งรบกวน
สภาพแวดล้อมมีผลต่อสมาธิในการอ่านอย่างมากเลยนะครับ หากเราอ่านในที่ที่เหมาะสม จะช่วยให้การ แบ่งหนังสือ อ่านจบ เป็นไปอย่างราบรื่น
- หาพื้นที่เงียบสงบ: เลือกมุมที่สงบ ไม่มีเสียงดังรบกวน เช่น ห้องนอน ห้องอ่านหนังสือ หรือมุมใดมุมหนึ่งในบ้านที่รู้สึกผ่อนคลายและมีสมาธิ
- จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ: การจัดโต๊ะให้สะอาดเรียบร้อย จะช่วยให้สมองปลอดโปร่ง และมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ดีขึ้น
- กำจัดสิ่งรบกวน: สิ่งที่มักจะดึงสมาธิเราไปมากที่สุดคือ โทรศัพท์มือถือ เกม หรือรายการทีวี ลองวางโทรศัพท์ไว้ห่างตัวสักหน่อย หรือปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ในช่วงเวลาที่อ่านหนังสือ เพื่อให้เรามีสมาธิจดจ่อกับการอ่านได้อย่างเต็มที่ครับ
- เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม: ดินสอ ยางลบ ปากกาไฮไลต์ กระดาษโน้ต หรือแม้แต่น้ำเปล่า ควรเตรียมให้พร้อมก่อนเริ่มอ่าน เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องลุกไปหยิบของบ่อยๆ ทำให้การอ่านสะดุด
บทบาทของคุณพ่อคุณแม่: กำลังใจสำคัญที่ขาดไม่ได้
คุณพ่อคุณแม่คือผู้สนับสนุนที่สำคัญที่สุดในเส้นทางการเรียนรู้ของลูกๆ ครับ การสร้างบรรยากาศที่ดีและการให้กำลังใจอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ลูกๆ สามารถ แบ่งหนังสือ อ่านจบ และพิชิตเป้าหมายได้สำเร็จ
เป็น 'โค้ช' ไม่ใช่ 'กรรมการ'
แทนที่จะคอยจับผิดหรือกดดันลูกว่า "ทำไมยังอ่านไม่จบ" หรือ "ทำไมอ่านได้แค่นี้" ลองเปลี่ยนบทบาทมาเป็น 'โค้ช' ที่คอยให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ และเสนอตัวช่วยเหลือเมื่อลูกต้องการครับ เช่น "มีตรงไหนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจไหมลูก มาถามได้นะ" หรือ "วันนี้อ่านได้เยอะเลย เก่งมาก!"
ชื่นชมและให้กำลังใจเสมอ
ทุกความพยายามเล็กๆ ของลูกสมควรได้รับการชื่นชมครับ ไม่ว่าลูกจะอ่านได้มากน้อยแค่ไหน การได้รับคำชมเชยที่จริงใจจะช่วยสร้างแรงผลักดันและกำลังใจให้ลูกอยากเรียนรู้และพยายามต่อไปครับ การเห็นคุณค่าในความพยายามของลูกสำคัญกว่าผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว
สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีที่บ้าน
บ้านควรเป็นสถานที่ที่ลูกรู้สึกปลอดภัยและสบายใจที่จะเรียนรู้ ลองจัดมุมอ่านหนังสือที่เงียบสงบและเป็นระเบียบ ชวนลูกคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนรู้ หรืออ่านหนังสือพร้อมกันบ้างในบางโอกาส เพื่อสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ครับ การที่ลูกเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่ก็ให้ความสำคัญกับการอ่าน จะช่วยให้ลูกซึมซับและเห็นความสำคัญของการอ่านตามไปด้วย
สรุปและส่งกำลังใจจากพี่ๆ TidMor1
เป็นยังไงบ้างครับน้องๆ และคุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน? จากนี้ไปหนังสือเล่มหนาๆ ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไปแล้วใช่ไหมครับ? การที่จะ แบ่งหนังสือ อ่านจบ ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องของความอัจฉริยะ หรือการมีเวลามากมาย แต่เป็นเรื่องของการวางแผนที่ดี การมีวินัย และที่สำคัญที่สุดคือการมีกำลังใจและทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ครับ
พี่ๆ ทีมงาน TidMor1 เชื่อว่าน้องๆ ทุกคนมีความสามารถซ่อนอยู่ และสามารถพิชิตทุกเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้แน่นอนครับ ขอแค่อย่าเพิ่งท้อ เริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ ค่อยๆ แบ่งหนังสือ ออกเป็นส่วนๆ ทีละนิดๆ แล้วน้องๆ จะพบว่าตัวเองสามารถ อ่านจบ ได้อย่างน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียวครับ
จำไว้นะครับว่าการเตรียมตัวสอบเข้า ม.1 เป็นการเดินทางที่ต้องใช้ความพยายาม แต่ทุกย่างก้าวที่น้องๆ อ่านหนังสือ ฝึกฝน และเรียนรู้ จะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตของน้องๆ ครับ พี่ๆ พร้อมเป็นกำลังใจและอยู่เคียงข้างน้องๆ เสมอ สู้ๆ นะครับ!
และหากการวางแผนนี้ทำให้น้องๆ หรือคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าการตะลุยโจทย์วิทยาศาสตร์คือสิ่งสำคัญ ทีมงาน TidMor1 ขอแนะนำ "ข้อสอบเข้า ม.1 วิทยาศาสตร์ 3,000 ข้อ" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบที่หลากหลาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ TidMor1.com นะครับ