น้องๆ เคยเป็นแบบนี้กันไหมครับ? ตั้งใจอย่างดีเลยว่าจะอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้า ม.1 ให้เต็มที่ แต่พอเปิดหนังสือได้ไม่ถึง 5 นาที เสียงแจ้งเตือนจากมือถือก็ดังขึ้นมา เพื่อนข้างบ้านเปิดเพลงเสียงดัง หรือน้องเล็กวิ่งเล่นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว... สุดท้ายสมาธิที่เคยมีก็หายวับไปกับตา!
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ พี่ๆ ก็เข้าใจดีถึงความกังวลใจที่อยากจะช่วยให้ลูกๆ มีสมาธิในการอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ แต่บางทีก็ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ เพราะโลกของเราเต็มไปด้วยสิ่งเร้าที่พร้อมจะดึงความสนใจเราไปได้ทุกเมื่อ แต่ไม่ต้องห่วงนะ! บทความนี้ พี่ๆ ทีมงาน TidMor1 จะมาแชร์เคล็ดลับแบบจับมือทำ เพื่อเปลี่ยนมุมอ่านหนังสือธรรมดาๆ ให้กลายเป็น "ป้อมปราการแห่งสมาธิ" ด้วย วิธีสร้าง สภาพแวดล้อม ที่ปราศจากสิ่งรบกวน ที่ใครๆ ก็ทำตามได้ครับ
ทำไม ‘สภาพแวดล้อม’ ถึงสำคัญกว่าที่คิด?
ก่อนที่เราจะไปดูวิธีทำ ลองนึกภาพตามง่ายๆ นะครับ ระหว่างอ่านหนังสือในห้องสมุดที่เงียบสงบ กับอ่านหนังสือกลางตลาดนัดที่เสียงดังจอแจ แบบไหนจะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาได้ดีกว่ากัน? แน่นอนว่าต้องเป็นห้องสมุดใช่ไหมล่ะ นี่แหละครับคือพลังของ "สภาพแวดล้อม"
สมองของเราก็เหมือนคอมพิวเตอร์ครับ ถ้าเราเปิดโปรแกรมหลายๆ อย่างพร้อมกัน (ทั้งอ่านหนังสือ, ฟังเสียงทีวี, แอบดูแจ้งเตือนมือถือ) เครื่องก็จะทำงานช้าลงและรวนได้ง่าย การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีก็คือการปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อให้สมองของเราทุ่มเทพลังงานทั้งหมดไปที่การเรียนรู้และจดจำเนื้อหาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเตรียมสอบเข้า ม.1 ที่เปรียบเหมือนการวิ่งมาราธอน การมีสภาพแวดล้อมที่ดีก็เหมือนมีเส้นทางวิ่งที่ราบรื่น ช่วยให้เราไปถึงเส้นชัยได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
Step-by-Step: วิธีสร้าง สภาพแวดล้อม ที่ปราศจากสิ่งรบกวน ฉบับจับมือทำ
เอาล่ะ! มาเริ่มสร้างพื้นที่แห่งสมาธิของเรากันเลยดีกว่า ลองทำตามไปทีละข้อ ไม่ต้องรีบร้อนนะครับ การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันนี่แหละที่จะสร้างความแตกต่างได้อย่างมหาศาล
1. กำหนด "พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์" ของการอ่านหนังสือ
ขั้นตอนแรกคือการกำหนด "เขตปลอดสิ่งรบกวน" ของเราครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นห้องทั้งห้องก็ได้ แค่มุมใดมุมหนึ่งของบ้าน หรือโต๊ะตัวใดตัวหนึ่งที่ถูกกำหนดไว้ว่า "ที่ตรงนี้...มีไว้เพื่อการอ่านหนังสือเท่านั้น"
- สร้างเงื่อนไขให้สมอง: เมื่อเราใช้พื้นที่นี้เพื่อการเรียนเพียงอย่างเดียว สมองจะเรียนรู้และจดจำว่า "เมื่อไหร่ที่มานั่งตรงนี้ แปลว่าถึงเวลาต้องมีสมาธิแล้วนะ"
- แยกการพักผ่อนออกไป: พยายามอย่าเล่นเกม ดูหนัง หรือกินขนมบนโต๊ะอ่านหนังสือ เพราะจะทำให้สมองสับสนว่าตกลงนี่คือเวลาเรียนหรือเวลาเล่นกันแน่
- ความสะอาดคือจุดเริ่มต้น: แค่ดูแลให้โต๊ะและบริเวณรอบๆ สะอาดสะอ้านอยู่เสมอก็ช่วยให้รู้สึกดีและอยากอ่านหนังสือมากขึ้นแล้วครับ
2. จัดการ "กองทัพสิ่งรบกวนดิจิทัล" ให้อยู่หมัด
ในยุคนี้ ศัตรูตัวฉกาจที่สุดของสมาธิก็คือ "หน้าจอ" นี่เองครับ ทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ แต่เราสามารถจัดการมันได้ด้วยวิธีเหล่านี้
สำหรับสมาร์ทโฟน:
- เทคนิค "ไกลตา ไกลใจ": วิธีที่ดีที่สุดคือการนำมือถือไปวางไว้นอกห้อง หรือให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยเก็บไว้ให้ในช่วงเวลาอ่านหนังสือ
- เปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb): หากจำเป็นต้องใช้มือถือเพื่อค้นข้อมูล ให้เปิดโหมดนี้เพื่อปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด จะได้ไม่มีเสียงหรือหน้าจอสว่างวาบขึ้นมารบกวน
- ใช้แอปพลิเคชันช่วย: มีแอปฯ หลายตัวที่ช่วยบล็อกแอปฯ โซเชียลตามเวลาที่เรากำหนด ลองให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยตั้งค่าดูได้นะครับ
สำหรับคอมพิวเตอร์/แท็บเล็ต: หากต้องใช้เรียนออนไลน์หรือค้นคว้า ให้ปิดแท็บที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งโซเชียลมีเดีย ยูทูบ หรือเว็บการ์ตูน เพื่อให้หน้าจอมีแต่เรื่องเรียนเท่านั้น การทำแบบนี้เป็นส่วนสำคัญของ วิธีสร้าง สภาพแวดล้อม ที่ปราศจากสิ่งรบกวน ในโลกดิจิทัลครับ
3. จัดระเบียบโต๊ะอ่านหนังสือ: เปลี่ยนความวุ่นวายให้เป็นพลัง
โต๊ะที่รกไปด้วยของที่ไม่จำเป็นก็คือ "เสียงรบกวนทางสายตา" (Visual Noise) ที่คอยดึงสมาธิของเราไปทีละนิด การจัดโต๊ะให้เป็นระเบียบจึงเป็นมากกว่าความสวยงาม แต่มันคือการสร้างพื้นที่ที่สงบสำหรับความคิดของเรา
- กฎของสิ่งจำเป็น: บนโต๊ะควรมีแค่ของที่ต้องใช้จริงๆ เช่น หนังสือเรียน สมุดโน้ต เครื่องเขียน และโคมไฟ
- หาผู้ช่วยจัดระเบียบ: ใช้กล่องใส่ดินสอ ชั้นวางเอกสารเล็กๆ หรือที่คั่นหนังสือ เพื่อจัดทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง หาง่าย และไม่เกะกะสายตา
- "รีเซ็ต" ทุกครั้งหลังใช้งาน: เมื่ออ่านหนังสือเสร็จในแต่ละวัน ใช้เวลาสัก 2-3 นาทีเพื่อจัดโต๊ะให้กลับมาเรียบร้อยเหมือนเดิม เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันถัดไป
4. สื่อสารกับคนในบ้าน: สร้าง "ทีมสนับสนุน" ชั้นยอด
เราไม่ได้ต่อสู้กับสิ่งรบกวนเพียงลำพังนะครับ คนในครอบครัวคือทีมสนับสนุนที่ดีที่สุดของเรา การสื่อสารที่ดีจะช่วยให้ทุกคนเข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือ
สำหรับน้องๆ: ลองพูดคุยกับคนในบ้านอย่างน่ารักๆ ดูสิครับ เช่น "คุณพ่อคุณแม่ครับ ช่วง 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม หนูขอเวลาอ่านหนังสือเงียบๆ นะครับ" หรือ "พี่ครับ ตอนนี้หนูกำลังใช้สมาธิอยู่ เดี๋ยวอ่านเสร็จแล้วเราไปเล่นกันนะ" การบอกความต้องการของเราอย่างชัดเจนและสุภาพจะทำให้ทุกคนพร้อมให้ความร่วมมือ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่: สามารถช่วยได้โดยการสร้าง "ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้" ของบ้าน เช่น กำหนดให้ช่วงเวลาหนึ่งของวันเป็นเวลาที่ทุกคนจะทำกิจกรรมเงียบๆ เช่น อ่านหนังสือของตัวเอง หรือช่วยลดเสียงทีวีลง การสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ส่งผลต่อสมาธิของลูกได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยครับ
มากกว่าแค่จัดโต๊ะ: ปัจจัยเสริมอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มสมาธิ
นอกจากการจัดการพื้นที่และสิ่งรบกวนโดยตรงแล้ว ยังมีปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมให้การสร้างสภาพแวดล้อมในการอ่านหนังสือสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
- แสงสว่างต้องเพียงพอ: แสงที่ดีที่สุดคือแสงธรรมชาติ พยายามจัดโต๊ะให้อยู่ใกล้หน้าต่าง แต่หากไม่สะดวก ให้ใช้โคมไฟอ่านหนังสือที่มีแสงสว่างพอดี ไม่จ้าหรือมืดจนเกินไป เพราะจะทำให้ปวดตาและง่วงนอนได้ง่าย
- อากาศถ่ายเทสะดวก: ห้องที่อับและร้อนจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและง่วง การเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทบ้างจะช่วยให้สมองปลอดโปร่งและตื่นตัวมากขึ้น
- อย่าลืมเวลาพัก: การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปราศจากสิ่งรบกวน ไม่ได้หมายความว่าต้องนั่งอ่านหนังสือรวดเดียว 3 ชั่วโมงนะครับ การพักเบรกสั้นๆ ทุก 45-50 นาที (เช่น ลุกไปดื่มน้ำ ยืดเส้นยืดสาย) จะช่วยให้สมองได้ผ่อนคลายและกลับมามีสมาธิได้ดีกว่าเดิม
บทสรุป: สร้างฐานที่มั่นคงเพื่อพิชิตสนามสอบ
การเรียนก็เหมือนการสร้างตึกครับ การมี วิธีสร้าง สภาพแวดล้อม ที่ปราศจากสิ่งรบกวน ที่ดี ก็เปรียบเสมือนการสร้างฐานรากที่แข็งแรงให้กับตึกของเรา มันอาจจะต้องใช้เวลาและความพยายามในช่วงแรก ทั้งการจัดโต๊ะ การต่อสู้กับใจตัวเองไม่ให้เล่นมือถือ หรือการพูดคุยกับคนในบ้าน
แต่พี่ๆ อยากให้น้องๆ และคุณพ่อคุณแม่มองว่ามันคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดครับ เมื่อเรามี "ป้อมปราการแห่งสมาธิ" เป็นของตัวเองแล้ว การอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้า ม.1 หรือการเรียนรู้เรื่องอื่นๆ ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ขอแค่เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ทำอย่างสม่ำเสมอ แล้วน้องๆ จะค้นพบว่าตัวเองสามารถมีสมาธิและเรียนรู้ได้ดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจเลยล่ะครับ พี่ๆ ทีมงาน TidMor1 ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ!
และหากการวางแผนนี้ทำให้น้องๆ หรือคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าการตะลุยโจทย์วิทยาศาสตร์คือสิ่งสำคัญ ทีมงาน TidMor1 ขอแนะนำ "ข้อสอบเข้า ม.1 วิทยาศาสตร์ 3,000 ข้อ" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบที่หลากหลาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ TidMor1.com นะครับ