สวัสดีครับน้องๆ และคุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน! พี่ๆ TidMor1 เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอปัญหานี้กันใช่ไหมครับ?
น้องๆ อาจจะรู้สึกว่าตัวเองอ่านหนังสือเยอะมาก จดโน้ตเต็มไปหมดในคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ต แต่พอถึงเวลาไปสอบจริง กลับลืมเนื้อหาสำคัญไปซะอย่างนั้น หรือจำได้ไม่แม่นเท่าที่ควร คุณพ่อคุณแม่เองก็คงเป็นกังวลว่าลูกๆ จะเรียนแล้วจำไม่ติดใช่ไหมครับ?
ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างรวดเร็วทันใจ การใช้คีย์บอร์ดหรือปากกาสไตลัสเพื่อจดบันทึกกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เคยสงสัยกันไหมครับว่า... ทำไมเวลาที่เราต้องทบทวนบทเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้า ม.1 หรือสอบสำคัญๆ แล้วรู้สึกว่าการจดด้วยมือ หรือ การเขียน ดูเหมือนจะช่วยให้เรา จำดี กว่าการ พิมพ์?
บทความนี้ พี่ๆ TidMor1 จะพาน้องๆ และคุณพ่อคุณแม่ไปไขปริศนาทางวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความมหัศจรรย์ของการ เขียน ที่ช่วยให้สมองของเรา จำดี ขึ้น และที่สำคัญคือ จะบอกเคล็ดลับวิธีใช้ประโยชน์จากการ เขียน เพื่อการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในการเตรียมสอบ และในชีวิตประจำวัน เพื่อให้น้องๆ สามารถเรียนรู้ได้อย่างสนุกและประสบความสำเร็จครับ!
การ เขียน กับ การ พิมพ์: สองทางเลือกในการเรียนรู้ที่ต่างกัน
ทุกวันนี้ ไม่ว่าน้องๆ จะจดโน้ตในห้องเรียน หรือสรุปบทเรียนตอนอยู่บ้าน ก็มีทางเลือกอยู่ 2 แบบใหญ่ๆ ใช่ไหมครับ? คือการ เขียน ด้วยมือบนกระดาษ หรือการ พิมพ์ ผ่านคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน
การ พิมพ์ ดูเหมือนจะรวดเร็วและสะดวกสบายมาก ข้อดีคือเราสามารถจดข้อมูลได้เยอะภายในเวลาอันสั้น แก้ไขง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องลายมือไม่สวย และจัดระเบียบไฟล์ต่างๆ ได้ง่ายดาย เหมาะสำหรับการจดเลคเชอร์ที่ต้องเขียนตามอาจารย์ให้ทัน หรือการร่างรายงานยาวๆ ที่ต้องการความรวดเร็วในการจัดรูปแบบ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง การ เขียน ด้วยมือ แม้จะดูช้ากว่า และบางคนอาจจะมองว่าไม่สะดวกเท่า แต่กลับมีพลังซ่อนเร้นที่น่าทึ่งในเรื่องของการจำและการทำความเข้าใจข้อมูลครับ หลายงานวิจัยชี้ให้เห็นตรงกันว่า เมื่อเทียบกันแล้ว ประสิทธิภาพในการ จำดี ระหว่างการ เขียน และการ พิมพ์ นั้น แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และดูเหมือนว่าฝ่าย เขียน จะเป็นผู้ชนะในหลายๆ ด้าน
แล้วอะไรคือเบื้องหลังของความแตกต่างนี้ล่ะครับ? ทำไมการ เขียน พิมพ์ จำดี ถึงได้ผลไม่เท่ากัน? ไปดูกันเลยครับ!
3 เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไมการ เขียน ถึงช่วยให้เรา จำได้ดีกว่าการ พิมพ์
พี่ๆ จะอธิบายให้ฟังถึงหลักการทำงานของสมองง่ายๆ ที่ทำให้การ เขียน เหนือกว่าการ พิมพ์ ในเรื่องของการจำครับ
1. สมองทำงานหนักกว่า...และนั่นคือเรื่องดี! (The "Effortful Processing" Advantage)
ลองนึกภาพตามนะครับ เวลาที่เรา เขียน ด้วยมือ ไม่ใช่แค่ปลายนิ้วที่ขยับ แต่สมองของเรากำลังทำงานอย่างซับซ้อนและละเอียดอ่อนกว่ามาก เราต้องควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ที่มือและนิ้วให้เคลื่อนไหวอย่างแม่นยำ ต้องประมวลผลรูปร่างของตัวอักษรแต่ละตัว ต้องคิดถึงแรงกด เส้นสาย และพื้นที่บนกระดาษ นี่คือการทำงานประสานกันของระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่ซับซ้อนทีเดียว
ต่างจากการ พิมพ์ ครับ ที่เราเพียงแค่กดปุ่มต่างๆ ด้วยการเคลื่อนไหวที่ซ้ำซากและเป็นอัตโนมัติมากกว่า การ พิมพ์ ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่และเคลื่อนไหวที่น้อยกว่ามาก ทำให้สมองไม่ต้องใช้พลังงานในการประมวลผลในส่วนของกลไกการเขียนมากเท่า
นักวิจัยเรียกกระบวนการนี้ว่า "การประมวลผลที่ต้องใช้ความพยายาม" (Effortful Processing) ยิ่งสมองต้องใช้ความพยายามมากเท่าไหร่ ในการทำความเข้าใจและสร้างข้อมูลขึ้นมา มันก็จะยิ่งสร้างเส้นใยประสาท (Neural Pathways) ที่แข็งแรงขึ้นเท่านั้น เหมือนกับการออกกำลังกายกล้ามเนื้อนั่นแหละครับ ยิ่งออกแรงมาก กล้ามเนื้อก็ยิ่งแข็งแรงขึ้น
การ เขียน จึงกระตุ้นให้สมองทำงานอย่างลึกซึ้งในหลายส่วนพร้อมกัน ทั้งส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่วนที่รับรู้ภาพ ส่วนที่ประมวลผลภาษา ทำให้ข้อมูลถูกเข้ารหัส (Encode) ในความทรงจำของเราอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เรา จำดี ได้นานกว่า และเรียกข้อมูลกลับมาใช้ได้ง่ายขึ้นในภายหลังนั่นเองครับ
2. สร้างแผนที่ความคิดในหัว (Cognitive Map Formation)
เวลาที่เรา พิมพ์ โน้ต ส่วนใหญ่เราจะ พิมพ์ ไปตามลำดับที่ได้ยิน หรือที่อ่านเจอใช่ไหมครับ? เป็นการจดบันทึกแบบเป็นเส้นตรง (Linear) ตั้งแต่บรรทัดแรกไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย ซึ่งมีข้อดีในแง่ของความเป็นระเบียบ แต่ก็มีข้อจำกัดในแง่ของการเชื่อมโยงความคิด
แต่เมื่อเรา เขียน ด้วยมือ เรามีอิสระในการจัดวางข้อมูลบนกระดาษมากกว่ามาก น้องๆ สามารถวาดแผนผังความคิด (Mind Map) ขีดเส้นใต้ ไฮไลต์ วาดรูปประกอบ ทำลูกศรเชื่อมโยงข้อมูลต่างหัวข้อ เขียนโน้ตย่อแทรกข้างๆ หรือแม้กระทั่งวาดสัญลักษณ์ง่ายๆ เพื่อแทนความคิดซับซ้อนได้ทันที
การจัดวางข้อมูลในลักษณะที่ไม่ใช่เส้นตรงนี้ เป็นการกระตุ้นสมองให้สร้าง "แผนที่ความคิด" หรือ "แผนที่ความรู้" (Cognitive Map) ขึ้นมาในหัวของเรา ช่วยให้เรามองเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูลแต่ละส่วนได้อย่างชัดเจนมากขึ้น แทนที่จะเห็นเป็นแค่ข้อความยาวๆ ที่เรียงต่อกันไปเรื่อยๆ
แผนที่ความคิดเหล่านี้จะช่วยให้สมองจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบที่เชื่อมโยงกัน ทำให้เราสามารถดึงข้อมูลเหล่านั้นออกมาใช้ได้ง่ายขึ้นเมื่อต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราต้องเชื่อมโยงข้อมูลหลายๆ ส่วนเพื่อตอบคำถามที่ซับซ้อน การที่สมองมีแผนที่เหล่านี้ จะช่วยให้เราค้นหาคำตอบได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมการ เขียน ในรูปแบบอิสระ จึงช่วยให้เรา จำดี ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
3. เปิดโอกาสให้ทบทวนและตกผลึก (Active Recall & Elaboration)
หลายครั้งที่น้องๆ พิมพ์ โน้ต ก็มักจะ พิมพ์ ตามที่อาจารย์พูด หรือตามหนังสือเป๊ะๆ ใช่ไหมครับ? ซึ่งเป็นเหมือนการคัดลอกข้อมูลโดยที่สมองไม่ได้ประมวลผลอย่างลึกซึ้งมากนัก เราเรียกว่าการจดบันทึกแบบ "คัดลอกตาม" (Transcribing) ซึ่งอาจจะทำให้เราเข้าใจว่าจดครบแล้ว แต่จริงๆ แล้วสมองอาจจะไม่ได้ประมวลผลอะไรเลย
แต่เมื่อเรา เขียน ด้วยมือ สมองเราจะทำงานช้าลงโดยธรรมชาติ และนั่นคือโอกาสทองที่เราจะได้ทบทวนและตกผลึกข้อมูลไปในตัว เพราะเรา เขียน ได้ช้ากว่า เราจึงต้องเลือกประเด็นสำคัญ ต้องสรุปความ ต้องเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นภาษาของเราเอง นี่คือกระบวนการที่เรียกว่า "การทบทวนแบบลงมือทำ" (Active Recall) และ "การขยายความ" (Elaboration)
- Active Recall: เมื่อเราพยายามสรุปเนื้อหาด้วยมือ สมองจะพยายามดึงข้อมูลที่เพิ่งได้รับเข้ามาในหน่วยความจำระยะสั้น แล้วนำมาประมวลผลใหม่ เพื่อที่จะ เขียน มันออกมา นี่คือการฝึกเรียกคืนข้อมูล (Retrieval Practice) ที่ช่วยเสริมสร้างความทรงจำระยะยาวให้แข็งแกร่ง
- Elaboration: การที่เราต้องคิดว่าจะ เขียน อะไรลงไป หรือจะ เขียน อย่างไรให้เป็นภาษาของเราเอง เป็นการบังคับให้สมองต้อง "คิดต่อยอด" หรือ "ขยายความ" ข้อมูลนั้นๆ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่จำได้ แต่คือเข้าใจอย่างแท้จริง
การ เขียน จึงไม่ใช่แค่การบันทึก แต่เป็นการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่า ช่วยให้น้องๆ จำดี และคงอยู่ได้นานในความทรงจำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการสอบที่ต้องใช้ความเข้าใจและวิเคราะห์อย่างการสอบเข้า ม.1 ครับ
แล้วเราจะใช้พลังของการ เขียน ให้เต็มที่ได้อย่างไร? เคล็ดลับจากพี่ๆ TidMor1
เมื่อรู้ถึงเหตุผลเบื้องหลังแล้ว ทีนี้มาดูกันว่า เราจะนำพลังของการ เขียน ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการเรียนและการเตรียมสอบได้อย่างไรบ้างครับ
1. จดโน้ตแบบ “จับใจความ” ไม่ใช่แค่ “ลอกตาม”
หัวใจสำคัญของการจดโน้ตคือ ไม่ใช่การลอกตามคำพูดของอาจารย์หรือตามหนังสือทุกตัวอักษร แต่คือการ "ฟังอย่างตั้งใจ" หรือ "อ่านอย่างเข้าใจ" แล้วสรุปออกมาเป็นภาษาของตัวเองครับ
- เน้นประเด็นสำคัญ: ในระหว่างเรียนหรืออ่านหนังสือ ให้ตั้งใจจับประเด็นหลักและแนวคิดสำคัญๆ แทนที่จะจดทุกคำพูดที่ได้ยิน
- ใช้คำย่อและสัญลักษณ์: เพื่อความรวดเร็ว น้องๆ สามารถสร้างระบบคำย่อหรือสัญลักษณ์ส่วนตัวได้ เช่น → แทน "ส่งผลให้", W/O แทน "Without", * แทน "สำคัญมาก"
- เว้นที่ว่าง: การเว้นที่ว่างรอบๆ โน้ตจะช่วยให้น้องๆ สามารถเพิ่มข้อมูลเสริม คำอธิบายเพิ่มเติม หรือคำถามที่สงสัยได้ในภายหลัง เป็นการเปิดโอกาสให้สมองได้ "คิดต่อ"
- ไม่จำเป็นต้องสวยเป๊ะ: โน้ตที่ดีไม่จำเป็นต้องสวยงามเหมือนงานศิลปะ ขอแค่เป็นโน้ตที่เราอ่านแล้วเข้าใจ และดึงข้อมูลออกมาใช้ได้ก็พอครับ
การจดโน้ตแบบจับใจความนี้จะบังคับให้สมองน้องๆ ต้องประมวลผลและสังเคราะห์ข้อมูลทันที ซึ่งเป็นการฝึกให้เรา จำดี ได้ในระยะยาวตั้งแต่เริ่มต้น
2. สรุปเนื้อหาด้วยลายมือตัวเอง
นี่คือเทคนิคที่ทรงพลังมาก! หลังจากเรียนจบบท หรืออ่านหนังสือจบไปหนึ่งบท ให้ปิดหนังสือ แล้วลอง เขียน สรุปเนื้อหาทั้งหมดที่เราจำได้ออกมาด้วยลายมือตัวเอง
- Mind Map: สร้างแผนผังความคิด (Mind Map) โดยมีหัวข้อหลักอยู่ตรงกลาง แล้วแตกกิ่งก้านสาขาออกไปเป็นหัวข้อย่อยและรายละเอียดต่างๆ การวาดแผนผังจะช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงของข้อมูลทั้งหมด
- Concept Map: คล้ายกับ Mind Map แต่เน้นการเชื่อมโยงแนวคิดที่มีความสัมพันธ์กันด้วยเส้นและคำอธิบายบนเส้นนั้นๆ
- Flowchart: สำหรับเนื้อหาที่มีลำดับขั้นตอนหรือกระบวนการ การ เขียน ผังงานจะช่วยให้เห็นภาพรวมและเข้าใจขั้นตอนได้ง่าย
- Summary Notes: เขียน สรุปย่อเป็นประโยคสำคัญๆ หรือ Key Points ในรูปแบบที่เราเข้าใจง่ายที่สุด
การ เขียน สรุปด้วยมือแบบนี้ เป็นการบังคับให้สมองต้องดึงข้อมูลที่เรียนไปแล้วกลับมาจัดระเบียบใหม่ สร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และช่วยให้เราค้นพบจุดที่เรายังไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จะกลับไปทบทวนซ้ำจนกว่าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้การ เขียน พิมพ์ จำดี แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
3. ฝึกตอบคำถามหรือแก้โจทย์โดยการ เขียน
สำหรับวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือวิชาที่ต้องมีการคำนวณและแสดงวิธีทำ การ เขียน คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งครับ
- แสดงวิธีทำทุกขั้นตอน: เวลาแก้โจทย์ ไม่ว่าจะเป็นโจทย์ง่ายหรือยาก ให้น้องๆ เขียน วิธีทำทุกขั้นตอนลงบนกระดาษอย่างละเอียด การทำเช่นนี้ช่วยให้เราจัดระเบียบความคิด และมองเห็นข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้น
- อธิบายแนวคิด: ลอง เขียน อธิบายหลักการ หรือแนวคิดเบื้องหลังคำตอบนั้นๆ ด้วยภาษาของตัวเอง เช่น ทำไมถึงใช้สูตรนี้ หรือทำไมถึงได้คำตอบแบบนี้
- วาดภาพประกอบ: หากเป็นโจทย์ปัญหา ให้ลองวาดภาพหรือไดอะแกรมประกอบโจทย์ เพื่อช่วยให้เราเห็นภาพสถานการณ์และเข้าใจโจทย์ได้ดีขึ้น
การ เขียน แสดงวิธีทำ ไม่ใช่แค่การหาคำตอบ แต่คือการสร้างความเข้าใจในกระบวนการ ซึ่งจะทำให้เราสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้กับโจทย์ที่ซับซ้อนขึ้นได้ในอนาคต นี่คืออีกหนึ่งวิธีที่การ เขียน ช่วยให้เรา จำดี และเข้าใจอย่างแท้จริง
4. สร้าง Flashcards หรือ Summary Sheets
เทคนิคการจำที่ใช้ได้ผลดีเสมอมาคือการใช้ Flashcards และ Summary Sheets ที่ทำด้วยมือ
- Flashcards: เขียน คำถาม หรือคำศัพท์ไว้ด้านหนึ่ง และคำตอบ/ความหมายไว้ด้านหลัง การ เขียน Flashcards ด้วยมือจะช่วยให้เราจำได้ตั้งแต่ตอนทำ และการใช้ซ้ำๆ จะช่วยให้ข้อมูลถูกตอกย้ำในสมอง
- Summary Sheets: เขียน สรุปเนื้อหาสำคัญทั้งหมดของแต่ละวิชาลงบนกระดาษไม่กี่แผ่น (อาจจะ 1-2 แผ่นต่อบท) เน้นเฉพาะใจความสำคัญ ตัวเลข สูตร หรือวันสำคัญ การทำแบบนี้จะบีบให้น้องๆ ต้องคัดกรองข้อมูล และสรุปสิ่งที่สำคัญที่สุดออกมา ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทรงพลัง
สองวิธีนี้เหมาะมากสำหรับการทบทวนก่อนสอบ เพราะเป็นข้อมูลที่น้องๆ สรุปและ เขียน ด้วยมือตัวเอง ทำให้ข้อมูลเป็นส่วนหนึ่งของความเข้าใจของน้องๆ ได้อย่างแท้จริง
5. ผสมผสานกับการ พิมพ์ ให้ลงตัว
แน่นอนว่าในยุคนี้ เราคงปฏิเสธความสะดวกของการ พิมพ์ ไม่ได้ครับ แต่เราสามารถใช้ประโยชน์จากทั้งสองวิธีได้ โดยให้น้องๆ รู้ว่าควรใช้เมื่อไหร่และอย่างไร
- ใช้การพิมพ์เพื่อความเร็วและปริมาณ: หากต้องจดเลคเชอร์ที่มีข้อมูลเยอะมากๆ และอาจารย์พูดเร็ว การ พิมพ์ อาจจะช่วยให้จดได้ทันและครบถ้วนกว่า
- ใช้การเขียนเพื่อทำความเข้าใจและจดจำ: หลังจาก พิมพ์ โน้ตมาแล้ว ให้กลับมาอ่านทบทวน และ เขียน สรุปด้วยมืออีกครั้ง นี่คือขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ข้อมูลเข้าสู่ความทรงจำระยะยาว
- ใช้การพิมพ์สำหรับการจัดระเบียบและส่งงาน: เมื่อถึงเวลาต้องทำรายงานส่ง หรือสรุปโน้ตให้เป็นระเบียบสวยงามเพื่อแบ่งปัน การ พิมพ์ ก็ยังคงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด
หัวใจสำคัญคือ อย่าให้การ พิมพ์ เป็นการคัดลอกข้อมูลแบบไม่มีสติ แต่จงใช้การ เขียน เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างความเข้าใจและทำให้ข้อมูลนั้นๆ เป็นของเราอย่างแท้จริงครับ
คุณพ่อคุณแม่ช่วยน้องๆ เสริมพลังการ เขียน ได้อย่างไร
คุณพ่อคุณแม่ก็มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้น้องๆ ใช้การ เขียน ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนะครับ
- จัดหาสมุดและอุปกรณ์การเขียนดีๆ: ปากกาที่เขียนลื่นๆ สมุดที่มีกระดาษคุณภาพดี หรือแม้แต่สีสันสวยๆ ก็สามารถสร้างแรงจูงใจให้น้องๆ อยาก เขียน มากขึ้นได้ครับ
- สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้: จัดมุมสำหรับให้น้องๆ ได้นั่ง เขียน สรุปบทเรียนอย่างเงียบสงบ ไม่มีสิ่งรบกวน
- ทำความเข้าใจและให้กำลังใจ: อธิบายให้น้องๆ ฟังถึงประโยชน์ของการ เขียน ว่าทำไมมันถึงช่วยให้ จำดี กว่าการ พิมพ์ และเป็นกำลังใจให้น้องๆ ลองใช้เทคนิคนี้ดู อย่าบังคับ แต่ชี้ให้เห็นถึงข้อดี
- ชื่นชมในความพยายาม: ไม่สำคัญว่าลายมือจะสวยหรือไม่ แต่ขอให้ชื่นชมความตั้งใจและพยายามของน้องๆ ในการ เขียน และสรุปเนื้อหาด้วยตัวเองครับ
- ลดการพึ่งพิงอุปกรณ์ดิจิทัลมากเกินไป: ในเวลาที่น้องๆ เรียนรู้หรือทบทวนบทเรียน ลองแนะนำให้พักจากการใช้หน้าจอ แล้วหันมาใช้ปากกาและกระดาษแทน
การสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่ จะช่วยให้น้องๆ รู้สึกสนุกกับการเรียนรู้ด้วยการ เขียน มากขึ้น และเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในการเรียนและการสอบอย่างแน่นอนครับ
เป็นยังไงบ้างครับน้องๆ และคุณพ่อคุณแม่? หวังว่าบทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจว่าทำไมการ เขียน ถึงได้เปรียบกว่าการ พิมพ์ ในเรื่องของการ จำดี นะครับ
ความลับก็คือ การ เขียน ไม่ใช่แค่การบันทึกตัวอักษรลงบนกระดาษ แต่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งกระตุ้นสมองให้ทำงานอย่างเต็มที่ ทำให้ข้อมูลถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบและเรียกใช้ได้ง่ายขึ้นในภายหลัง การ เขียน ช่วยสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการเรียนรู้ที่ยั่งยืน
พี่ๆ TidMor1 อยากให้น้องๆ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้กับการเรียนและเตรียมสอบดูนะครับ ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจดบันทึกทีละเล็กทีละน้อย แล้วน้องๆ จะพบว่าการ เขียน ด้วยมือตัวเองนั้น มีคุณค่าและมีพลังมหาศาลจริงๆ ครับ ขอให้สนุกกับการเรียนรู้ และ จำดี ได้ทุกเรื่องที่อยากจำนะครับ!
และหากการวางแผนนี้ทำให้น้องๆ หรือคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าการตะลุยโจทย์วิทยาศาสตร์คือสิ่งสำคัญ ทีมงาน TidMor1 ขอแนะนำ "ข้อสอบเข้า ม.1 วิทยาศาสตร์ 3,000 ข้อ" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบที่หลากหลาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ TidMor1.com นะครับ