คุณพ่อคุณแม่และน้องๆ เคยรู้สึกกังวลไหมครับว่าเวลาเรียนวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องที่ดูเหมือนจะซับซ้อนอย่าง การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร น้องๆ จะเข้าใจได้ยากหรือเปล่า? บางทีก็สับสนว่า "หลอมเหลว" กับ "ระเหย" เหมือนกันไหมนะ? แล้ว "แข็งตัว" คืออะไร? ยิ่งใกล้สอบเข้า ม.1 แล้วด้วย ยิ่งต้องเป๊ะ!
ไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ! วันนี้พี่ๆ TidMor1 จะมาช่วยไขข้อข้องใจทั้งหมดนี้ให้กระจ่างในแบบที่เข้าใจง่ายสุดๆ เหมือนกำลังฟังเรื่องเล่า ไม่ใช่เรียนหนังสือ แค่อ่านตามไปเรื่อยๆ น้องๆ ก็จะเห็นภาพและจำเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร ได้อย่างแม่นยำแน่นอน และคุณพ่อคุณแม่ก็จะได้แนวทางไปช่วยลูกๆ ทบทวนได้อย่างมั่นใจด้วยครับ เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปลุยกันเลย!
ทำความรู้จักสถานะของสารกันก่อน: ของแข็ง ของเหลว แก๊ส
ก่อนที่เราจะไปพูดถึงเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร เรามาทำความรู้จักกับ “สาร” และ “สถานะ” ของมันแบบง่ายๆ กันก่อนนะครับ น้องๆ เคยสงสัยไหมว่าทำไมก้อนน้ำแข็งถึงแข็งเป๊ก น้ำเปล่าถึงไหลได้ หรือทำไมอากาศที่เราหายใจถึงมองไม่เห็น?
สารต่างๆ รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นน้ำแข็ง ไอติม น้ำเปล่า น้ำอัดลม หรือแม้แต่ลมที่เราหายใจเข้าไป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็น “สาร” ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ โดยสารแต่ละชนิดก็จะมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน เราเรียกลักษณะเหล่านี้ว่า “สถานะ” ซึ่งมีอยู่ 3 สถานะหลักๆ ที่น้องๆ ควรรู้จัก คือ
- ของแข็ง (Solid): ลองนึกถึงก้อนน้ำแข็ง ไม้บรรทัด หรือก้อนหิน พวกนี้มีรูปร่างที่แน่นอน ไม่เปลี่ยนไปมาง่ายๆ แม้จะย้ายที่ไปวางตรงไหนก็ตาม และมีปริมาตรคงที่ด้วย เพราะอนุภาคของมันอยู่ชิดกันมากๆ และจัดเรียงเป็นระเบียบสุดๆ เลยขยับไปไหนไม่ค่อยได้
- ของเหลว (Liquid): เช่น น้ำเปล่า นมสด น้ำมัน พวกนี้ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน จะเปลี่ยนไปตามภาชนะที่ใส่เสมอ เช่น ใส่น้ำในแก้วน้ำก็เป็นรูปแก้ว ใส่ในขวดน้ำก็เป็นรูปขวด แต่! ปริมาตรของมันยังคงที่นะครับ ถ้ามีน้ำ 1 แก้ว ก็ยังคงเป็นน้ำ 1 แก้วไม่ว่าจะเทใส่ภาชนะแบบไหนก็ตาม อนุภาคของของเหลวอยู่ห่างกันมากกว่าของแข็งนิดหน่อย ทำให้ขยับไปมาได้บ้าง เลยไหลได้นั่นเอง
- แก๊ส (Gas): นึกถึงอากาศที่เราหายใจ ควัน หรือไอน้ำ พวกนี้ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน และไม่มีปริมาตรที่แน่นอนด้วย เพราะจะฟุ้งกระจายเต็มภาชนะที่บรรจุเสมอ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม เช่น เติมลมลูกโป่งนิดเดียว ลมก็เต็มลูกโป่งแล้ว อนุภาคของแก๊สอยู่ห่างกันมากที่สุด และเคลื่อนที่อย่างอิสระไปทั่วทุกทิศทาง เลยจับต้องได้ยาก และมองไม่เห็นส่วนใหญ่ครับ
พอเข้าใจสถานะของสารทั้งสามแล้ว ทีนี้เรามาดูกันว่า แล้วสารเหล่านี้จะ เปลี่ยนแปลงสถานะของสาร ได้อย่างไรบ้าง?
เปิดประตูสู่การเปลี่ยนแปลง: การหลอมเหลว (Melting)
มาเริ่มต้นกับสถานะแรกกันเลยครับ ลองนึกภาพเวลาคุณพ่อคุณแม่ซื้อไอติมมา แล้วน้องๆ ยังไม่กินทันที ทิ้งไว้ไม่นาน ไอติมก็จะเริ่ม “ละลาย” ใช่ไหมครับ? หรือลองหยิบก้อนน้ำแข็งออกมาวางไว้นอกตู้เย็นสักพัก ก้อนน้ำแข็งก็จะค่อยๆ เล็กลงและกลายเป็นน้ำในที่สุด
นี่แหละครับ คือปรากฏการณ์ “การหลอมเหลว” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Melting ซึ่งเป็นการ เปลี่ยนแปลงสถานะของสาร จาก ของแข็งกลายเป็นของเหลว นั่นเองครับ
การหลอมเหลวเกิดขึ้นได้อย่างไร?
การหลอมเหลวจะเกิดขึ้นเมื่อของแข็งได้รับ “ความร้อน” เพิ่มขึ้นครับ เมื่อได้รับความร้อนมากๆ อนุภาคที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบในของแข็งก็จะเริ่มได้รับพลังงานมากขึ้น มีการสั่นสะเทือนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสั่นแรงมากพอที่จะหลุดออกจากตำแหน่งเดิม และเริ่มเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระมากขึ้น ทำให้ของแข็งค่อยๆ กลายเป็นของเหลว
จุดที่ของแข็งเริ่มเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เราเรียกว่า “จุดหลอมเหลว (Melting Point)” ครับ สารแต่ละชนิดจะมีจุดหลอมเหลวที่แตกต่างกัน เช่น น้ำแข็งจะมีจุดหลอมเหลวอยู่ที่ 0 องศาเซลเซียส นั่นหมายความว่า ถ้าอุณหภูมิถึง 0 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า น้ำแข็งก็จะเริ่มละลายกลายเป็นน้ำทันทีครับ
ลองนึกดูนะครับว่าถ้าเราเอาช็อกโกแลตไปตากแดด ช็อกโกแลตก็จะละลาย นั่นก็คือ การหลอมเหลว เหมือนกัน เพราะได้รับความร้อนจากแสงแดดนั่นเองครับ ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ?
ตรงกันข้ามกับการหลอมเหลว: การแข็งตัว (Freezing)
เมื่อเราเข้าใจเรื่องการหลอมเหลวแล้ว การ “แข็งตัว” ก็เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงครับ ลองนึกถึงตอนที่น้องๆ เอาน้ำเปล่าใส่ถาดน้ำแข็ง แล้วเอาไปแช่ในช่องฟรีซของตู้เย็น ไม่นานน้ำก็จะกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง
นี่คือตัวอย่างของ “การแข็งตัว” หรือ Freezing นั่นเองครับ เป็นการ เปลี่ยนแปลงสถานะของสาร จาก ของเหลวกลายเป็นของแข็ง
การแข็งตัวเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ถ้าการหลอมเหลวต้องได้รับความร้อน การแข็งตัวก็จะเกิดขึ้นเมื่อของเหลวนั้น “สูญเสียความร้อน” หรือได้รับความเย็นนั่นเองครับ เมื่อของเหลวเสียความร้อนไปเรื่อยๆ อนุภาคที่เคยเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระก็จะเริ่มช้าลง ช้าลง และชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็จัดเรียงตัวกันเป็นระเบียบเหมือนเดิม กลายเป็นของแข็งที่มีรูปร่างและปริมาตรคงที่ครับ
จุดที่ของเหลวเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เราเรียกว่า “จุดเยือกแข็ง (Freezing Point)” ซึ่งสำหรับน้ำแล้ว จุดเยือกแข็งก็คือ 0 องศาเซลเซียส เช่นเดียวกับจุดหลอมเหลวเลยครับ สรุปง่ายๆ คือที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส น้ำสามารถอยู่ในสถานะของแข็ง (น้ำแข็ง) หรือของเหลว (น้ำ) ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ากำลังได้รับความร้อนหรือสูญเสียความร้อนอยู่ครับ
น้องๆ ลองคิดดูสิว่า มีอะไรอีกบ้างที่เกิด การแข็งตัว ในชีวิตประจำวัน? เช่น การทำเทียนไขให้เป็นรูปทรงต่างๆ การทำเยลลี่ให้เป็นก้อน สิ่งเหล่านี้ล้วนอาศัยหลัก การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร แบบการแข็งตัวทั้งนั้นเลยครับ
ไปสู่ฟ้ากว้าง: การระเหย (Evaporation)
ทีนี้มาถึงการ เปลี่ยนแปลงสถานะของสาร ที่เราเห็นบ่อยๆ ในชีวิตประจำวันกันอีกอย่าง นั่นก็คือ “การระเหย” ครับ คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตไหมว่าทำไมน้ำที่ขังอยู่บนพื้นถนนหลังฝนตกถึงหายไปได้เอง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เช็ดมันเลย? หรือตอนที่คุณแม่ตากผ้าเปียกๆ ไว้กลางแดด ทำไมผ้าถึงแห้งได้?
นี่แหละครับ คือปรากฏการณ์ “การระเหย” หรือ Evaporation นั่นเอง ซึ่งเป็นการ เปลี่ยนแปลงสถานะของสาร จาก ของเหลวกลายเป็นแก๊ส (หรือไอน้ำ)
การระเหยเกิดขึ้นได้อย่างไร?
การระเหยเกิดขึ้นเมื่อของเหลวได้รับ “ความร้อน” ครับ แต่แตกต่างจากการหลอมเหลวตรงที่ การระเหยสามารถเกิดขึ้นได้ที่อุณหภูมิใดๆ ก็ตาม ไม่จำเป็นต้องถึงจุดเดือดเสมอไป แต่ถ้าอุณหภูมิยิ่งสูง การระเหยก็จะยิ่งเร็วขึ้นครับ
เมื่อของเหลวได้รับความร้อน อนุภาคของของเหลวที่อยู่บริเวณผิวหน้าก็จะได้รับพลังงานมากขึ้น จนมีพลังงานมากพอที่จะหลุดลอยออกไปจากผิวหน้าของของเหลว กลายเป็นอนุภาคของแก๊ส หรือไอน้ำ ลอยขึ้นไปในอากาศนั่นเองครับ
ลองนึกภาพการต้มน้ำเดือดๆ สิครับ จะเห็นไอน้ำลอยขึ้นมาเป็นไอ นั่นก็คือการระเหยที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อถึง “จุดเดือด (Boiling Point)” ครับ แต่แม้ไม่ต้องต้มน้ำ แค่เทน้ำทิ้งไว้ในแก้ว น้ำก็ยังระเหยไปได้เรื่อยๆ ครับ แค่ช้ากว่าเท่านั้นเอง
ตัวอย่างอื่นๆ ของ การระเหย ในชีวิตประจำวันก็เช่น:
- การที่น้ำในทะเลสาบลดระดับลงเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ
- การที่เหงื่อของเราแห้งไปเมื่อถูกลมพัด
- การทำเกลือสมุทร โดยการให้น้ำทะเลระเหยไปเหลือแต่เกลือ
เห็นไหมครับว่า การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร อย่างการระเหยอยู่รอบตัวเราตลอดเวลาเลย!
คู่หูของการระเหย: การควบแน่น (Condensation)
เมื่อมี "การระเหย" ก็ย่อมมี "การควบแน่น" ครับ สองสิ่งนี้เป็นคู่กัน เหมือนหยินกับหยางเลยครับ คุณพ่อคุณแม่และน้องๆ เคยสังเกตไหมครับ เวลาที่เราเอาน้ำแข็งใส่แก้ว แล้ววางทิ้งไว้สักพัก จะมีหยดน้ำเล็กๆ เกาะอยู่รอบๆ แก้ว ทั้งๆ ที่แก้วไม่ได้รั่วเลย?
นี่คือปรากฏการณ์ “การควบแน่น” หรือ Condensation ครับ เป็นการ เปลี่ยนแปลงสถานะของสาร จาก แก๊ส (ไอน้ำ) กลายเป็นของเหลว นั่นเอง
การควบแน่นเกิดขึ้นได้อย่างไร?
การควบแน่นจะเกิดขึ้นเมื่อแก๊ส (ไอน้ำ) “สูญเสียความร้อน” หรือได้รับความเย็นครับ ลองนึกภาพไอน้ำที่ลอยอยู่ในอากาศ เมื่อไอน้ำเหล่านี้ไปกระทบกับพื้นผิวที่เย็นกว่า เช่น ผิวแก้วที่มีน้ำแข็งอยู่ ไอน้ำก็จะคายความร้อนออกมา แล้วรวมตัวกันกลายเป็นหยดน้ำเล็กๆ เกาะอยู่บนผิวที่เย็นนั้น
ตัวอย่างของ การควบแน่น ที่เราเห็นบ่อยๆ เช่น:
- หยดน้ำค้างบนยอดหญ้าในตอนเช้า
- การเกิดเมฆและฝน (ไอน้ำในอากาศลอยขึ้นไปกระทบความเย็นด้านบน แล้วควบแน่นเป็นหยดน้ำเล็กๆ รวมตัวกันเป็นเมฆ และตกลงมาเป็นฝน)
- ควันที่พวยพุ่งออกมาจากหม้อข้าวร้อนๆ แล้วเมื่อไปกระทบกับอากาศเย็นๆ ก็จะกลายเป็นหยดน้ำเกาะบนฝาหม้อ
การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร ทั้งการระเหยและการควบแน่นนี้สำคัญมากในการอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติหลายอย่างเลยนะครับ
พิเศษ! การเปลี่ยนแปลงสถานะที่อาจเจอในข้อสอบ: การระเหิดและการแข็งตัวแบบระเหิด
นอกจากการหลอมเหลว การแข็งตัว การระเหย และการควบแน่นแล้ว ยังมีการ เปลี่ยนแปลงสถานะของสาร อีก 2 แบบที่น้องๆ ควรทำความรู้จักไว้เผื่อเจอในข้อสอบนะครับ นั่นก็คือ “การระเหิด” และ “การแข็งตัวแบบระเหิด”
การระเหิด (Sublimation)
การระเหิด คือ การ เปลี่ยนแปลงสถานะของสาร จาก ของแข็งกลายเป็นแก๊สโดยตรง โดยไม่ผ่านสถานะของเหลว ครับ ฟังดูแปลกใช่ไหมครับ? ปกติของแข็งต้องละลายเป็นของเหลวก่อนถึงจะระเหยเป็นแก๊ส แต่นี่คือข้ามขั้นตอนไปเลย!
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ “น้ำแข็งแห้ง” (Dry Ice) ที่ใช้ในการสร้างควันประกอบฉาก หรือในงานเลี้ยงต่างๆ น้ำแข็งแห้งเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะของแข็ง เมื่อวางทิ้งไว้ มันจะไม่ละลายเป็นน้ำ แต่จะกลายเป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ลอยขึ้นมาเป็นควันแทนครับ
สารอื่นๆ ที่มีสมบัติระเหิดได้ เช่น ลูกเหม็นที่ใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำหรือตู้เสื้อผ้า พิมเสน หรือการบูร ที่เราใช้ทำน้ำมันหม่องครับ
การแข็งตัวแบบระเหิด (Deposition หรือ Sublimation from gas to solid)
ส่วน “การแข็งตัวแบบระเหิด” ก็คือการ เปลี่ยนแปลงสถานะของสาร จาก แก๊สกลายเป็นของแข็งโดยตรง โดยไม่ผ่านสถานะของเหลว ครับ มันคือกระบวนการย้อนกลับของการระเหิดนั่นเอง
ตัวอย่างที่น้องๆ น่าจะเคยเห็นคือ “เกล็ดน้ำแข็ง” หรือ “น้ำค้างแข็ง (Frost)” ที่เกาะอยู่บนยอดหญ้าหรือบนกระจกรถยนต์ในตอนเช้าที่อากาศหนาวจัดมากๆ ครับ นั่นเกิดจากไอน้ำในอากาศไปสัมผัสกับพื้นผิวที่เย็นจัด แล้วเปลี่ยนสถานะจากแก๊สกลายเป็นของแข็งทันทีโดยไม่กลายเป็นหยดน้ำก่อนครับ
สองกระบวนการนี้อาจจะซับซ้อนขึ้นมาหน่อย แต่ถ้าเข้าใจหลักการว่าเป็นการข้ามสถานะของเหลวไปเลย ก็จะจำได้ง่ายขึ้นครับ
สรุปภาพรวม: แผนผังการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร
เพื่อให้น้องๆ และคุณพ่อคุณแม่เข้าใจ การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น พี่ขอสรุปเป็นภาพรวมง่ายๆ ดังนี้นะครับ
- ของแข็ง → ของเหลว: การหลอมเหลว (Melting) - สารได้รับความร้อน
- ของเหลว → ของแข็ง: การแข็งตัว (Freezing) - สารสูญเสียความร้อน
- ของเหลว → แก๊ส: การระเหย (Evaporation) - สารได้รับความร้อน (เกิดได้ทุกอุณหภูมิ แต่เร็วขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูง)
- แก๊ส → ของเหลว: การควบแน่น (Condensation) - สารสูญเสียความร้อน
- ของแข็ง → แก๊ส: การระเหิด (Sublimation) - สารได้รับความร้อน (ข้ามสถานะของเหลว)
- แก๊ส → ของแข็ง: การแข็งตัวแบบระเหิด (Deposition) - สารสูญเสียความร้อน (ข้ามสถานะของเหลว)
คีย์เวิร์ดสำคัญคือ “ได้รับความร้อน” กับ “สูญเสียความร้อน” ครับ ถ้าได้รับความร้อน สารจะเคลื่อนที่เร็วขึ้น ห่างกันมากขึ้น และเปลี่ยนไปในทิศทาง ของแข็ง → ของเหลว → แก๊ส แต่ถ้าสูญเสียความร้อน สารจะเคลื่อนที่ช้าลง ชิดกันมากขึ้น และเปลี่ยนไปในทิศทาง แก๊ส → ของเหลว → ของแข็ง
เคล็ดลับการจำและการนำไปใช้ในข้อสอบ
น้องๆ อาจจะรู้สึกว่าข้อมูลเยอะจังเลยพี่ แล้วจะจำยังไงดีนะ? คุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะคิดว่าแล้วจะช่วยลูกๆ ทบทวนอย่างไรให้สนุก ไม่น่าเบื่อ?
1. สังเกตจากสิ่งรอบตัว
วิทยาศาสตร์อยู่รอบตัวเราครับ! ชวนน้องๆ สังเกต การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร ในชีวิตประจำวัน เช่น
- การหลอมเหลว: ไอติมละลาย น้ำแข็งละลาย เทียนไขละลายเมื่อจุดไฟ
- การแข็งตัว: ทำน้ำแข็ง ทำวุ้น ทำเทียนไขให้เป็นก้อน
- การระเหย: น้ำในจานแห้งไปเอง ผ้าแห้งหลังตากฝน น้ำเดือดเป็นไอน้ำ
- การควบแน่น: หยดน้ำเกาะข้างแก้วน้ำเย็น เกิดเมฆเกิดฝน ควันจากหม้อข้าวเกาะฝาหม้อ
- การระเหิด: น้ำแข็งแห้ง ลูกเหม็นที่ค่อยๆ เล็กลง
การสังเกตและพูดคุยกันจะช่วยให้น้องๆ เห็นภาพและเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนกับโลกจริงได้ดีขึ้นมากครับ
2. วาดภาพประกอบ
ชวนน้องๆ วาดรูปง่ายๆ แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของอนุภาคในแต่ละสถานะ และลูกศรชี้ว่าได้รับความร้อนหรือสูญเสียความร้อน การวาดภาพจะช่วยให้สมองจัดระเบียบข้อมูลและจดจำได้ดีขึ้นครับ
3. ตั้งคำถามและหาคำตอบ
คุณพ่อคุณแม่อาจจะลองตั้งคำถามสนุกๆ กับน้องๆ เช่น "ถ้าเราทิ้งน้ำแข็งไว้ในห้องแอร์เย็นๆ มันจะละลายไหมนะ?" หรือ "ทำไมหม้อถึงมีไอน้ำเกาะอยู่ข้างในเวลาเราต้มน้ำ?" คำถามเหล่านี้จะกระตุ้นให้น้องๆ คิดและหาคำตอบด้วยตัวเอง
4. ทำความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ท่องจำ
หัวใจสำคัญของการเรียนวิทยาศาสตร์คือการ ทำความเข้าใจหลักการ ครับ ไม่ใช่แค่ท่องจำคำศัพท์ การรู้ว่าทำไมสารถึงเปลี่ยนสถานะ (เพราะได้รับหรือสูญเสียความร้อน) จะช่วยให้น้องๆ เข้าใจลึกซึ้งและนำไปประยุกต์ใช้ในข้อสอบได้ดีกว่าการท่องจำชื่อเพียงอย่างเดียว
5. ฝึกทำโจทย์ที่หลากหลาย
ในข้อสอบวิทยาศาสตร์เข้า ม.1 มักจะมีคำถามเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร อยู่เสมอครับ ทั้งแบบคำนวณง่ายๆ (เช่น เรื่องจุดเดือด จุดหลอมเหลว) หรือแบบวิเคราะห์สถานการณ์ น้องๆ ควรฝึกทำโจทย์ให้หลากหลาย เพื่อให้คุ้นเคยกับแนวข้อสอบและพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ครับ
บทสรุป: วิทยาศาสตร์คือเรื่องสนุกและเข้าใจได้
เป็นอย่างไรบ้างครับคุณพ่อคุณแม่และน้องๆ? เรื่อง การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร ไม่ได้ยากอย่างที่คิดใช่ไหมครับ? แค่เราเข้าใจหลักการสำคัญว่าเมื่อไหร่ที่สาร ได้รับความร้อน และเมื่อไหร่ที่ สูญเสียความร้อน เราก็จะเข้าใจทุกกระบวนการ ทั้งการหลอมเหลว, การแข็งตัว, การระเหย, การควบแน่น, การระเหิด และการแข็งตัวแบบระเหิดได้เลยครับ
พี่อยากให้น้องๆ สนุกกับการเรียนวิทยาศาสตร์นะครับ เพราะวิชานี้อยู่รอบตัวเราจริงๆ ยิ่งเข้าใจหลักการมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมองเห็นความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องกลัวว่าเนื้อหาจะยาก เพราะพี่ๆ TidMor1 จะอยู่ตรงนี้ คอยให้กำลังใจและแนะนำน้องๆ ในทุกๆ ก้าวของการเตรียมตัวสอบเข้า ม.1 เสมอครับ
คุณพ่อคุณแม่เองก็เป็นกำลังใจสำคัญให้น้องๆ นะครับ การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกและผ่อนคลาย จะช่วยให้น้องๆ ไม่รู้สึกกดดันและเปิดรับความรู้ใหม่ๆ ได้เต็มที่ครับ
และหากการวางแผนนี้ทำให้น้องๆ หรือคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าการตะลุยโจทย์วิทยาศาสตร์คือสิ่งสำคัญ ทีมงาน TidMor1 ขอแนะนำ “ข้อสอบเข้า ม.1 วิทยาศาสตร์ 3,000 ข้อ” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบที่หลากหลาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ TidMor1.com นะครับ