การสืบพันธุ์ของพืช: ความแตกต่างระหว่างพืชดอกและพืชไม่มีดอก

เขียนโดย: ทีมงาน TidMor1 | เผยแพร่เมื่อ: 13 ตุลาคม 2568

การสืบพันธุ์พืช พืชดอก พืชไม่มีดอก วิทยาศาสตร์ ป.6 เตรียมสอบ ม.1

คุณพ่อคุณแม่และน้องๆ ป.6 ที่กำลังเตรียมตัวสอบเข้า ม.1 อยู่ใช่ไหมครับ? วิชาที่หลายคนแอบกังวลคงหนีไม่พ้นวิชาวิทยาศาสตร์ เพราะมีเนื้อหาที่ต้องทำความเข้าใจเยอะแยะไปหมดเลย โดยเฉพาะเรื่อง "การสืบพันธุ์ของพืช" ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่พอลงลึกไปแล้วก็มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ทำเอาปวดหัวได้เหมือนกัน จริงไหมครับ?

น้องๆ เคยสงสัยไหมว่าต้นไม้รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นต้นมะม่วง ดอกกุหลาบ หรือแม้แต่เฟิร์นที่เห็นตามชายน้ำ ทำไมถึงมีต้นอ่อนงอกออกมาเพิ่มได้เรื่อยๆ? แล้วพืชแต่ละชนิดมีวิธีขยายพันธุ์เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่โจทย์สอบถามเรื่อง สืบพันธุ์พืชแตกต่าง กันแบบไหน น้องๆ อาจจะรู้สึกว่าต้องจำเยอะแยะไปหมดเลยใช่ไหมครับ

ไม่ต้องกังวลไปนะครับ! วันนี้พี่ๆ ทีมงาน TidMor1 จะมาช่วยอธิบายเรื่อง การสืบพันธุ์ของพืช ให้เข้าใจง่ายๆ เหมือนเล่านิทานเลยครับ เราจะมาดูกันว่าความมหัศจรรย์ของธรรมชาติทำให้พืชแต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็นพืชดอกที่สวยงาม หรือพืชไม่มีดอกที่ดูเรียบง่าย พวกเขามีกลไกการสืบพันธุ์ที่ สืบพันธุ์พืชแตกต่าง กันอย่างไรบ้าง พร้อมชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญที่มักออกสอบบ่อยๆ รับรองว่าอ่านจบแล้ว น้องๆ จะเข้าใจเรื่องนี้อย่างปรุโปร่ง และพร้อมลุยข้อสอบได้สบายๆ แน่นอนครับ

การสืบพันธุ์ของพืชคืออะไร? ทำไมพืชต้องมีลูก?

ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า "การสืบพันธุ์" คืออะไร การสืบพันธุ์ก็เหมือนกับการที่สิ่งมีชีวิตสร้างลูกหลาน เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้สูญหายไปนั่นเองครับ พืชเองก็เหมือนกัน พวกเขาก็ต้องมีวิธีขยายพันธุ์ เพื่อให้มีต้นไม้ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาทดแทนต้นเก่าที่ตายไป หรือเพื่อกระจายพันธุ์ออกไปยังพื้นที่ต่างๆ นั่นเองครับ

ลองคิดดูนะครับ ถ้าพืชไม่สามารถสืบพันธุ์ได้เลย โลกของเราคงเงียบเหงาและขาดความเขียวขจีไปมากเลยใช่ไหมครับ เพราะพืชเป็นผู้ผลิตอาหารที่สำคัญให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และยังช่วยผลิตออกซิเจนให้เราหายใจอีกด้วย ดังนั้น การสืบพันธุ์ของพืชจึงมีความสำคัญมากๆ ต่อระบบนิเวศบนโลกของเราครับ

โดยทั่วไปแล้ว การสืบพันธุ์ของพืช แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

  • การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (Sexual Reproduction): เป็นการสืบพันธุ์ที่ต้องอาศัยเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ (ละอองเรณู/สเปิร์ม) และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย (เซลล์ไข่) มาผสมกัน เกิดเป็นเมล็ดหรือสปอร์ เพื่อให้เกิดต้นใหม่ต่อไป
  • การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (Asexual Reproduction): เป็นการสืบพันธุ์ที่พืชสามารถสร้างต้นใหม่ขึ้นมาได้จากส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นแม่ โดยไม่ต้องอาศัยการผสมกันของเซลล์สืบพันธุ์ เช่น การแตกหน่อ การใช้หัว การใช้ลำต้นใต้ดิน หรือการปักชำ เป็นต้น

ในบทความนี้ เราจะเน้นไปที่การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ สืบพันธุ์พืชแตกต่าง กันอย่างชัดเจนระหว่างพืชดอกและพืชไม่มีดอกครับ

รู้จักการสืบพันธุ์ของพืชดอก: สีสันแห่งการขยายพันธุ์

เมื่อพูดถึง "พืชดอก" น้องๆ ก็น่าจะนึกถึงดอกไม้สวยๆ ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบ ทานตะวัน มะลิ หรือแม้แต่ต้นมะม่วง ต้นข้าว ดอกไม้เหล่านี้แหละครับ คือหัวใจสำคัญของการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอกเลย

โครงสร้างดอกไม้ที่สำคัญกับการสืบพันธุ์

ดอกไม้แต่ละดอกมีส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับการสืบพันธุ์อยู่ภายใน ลองนึกภาพดอกไม้ที่เราเคยเรียนกันตอน ป.6 นะครับ จะมีส่วนประกอบหลักๆ ดังนี้

  • กลีบเลี้ยง (Sepal): ส่วนใหญ่มีสีเขียว อยู่ชั้นนอกสุด ทำหน้าที่ห่อหุ้มและป้องกันดอกตูม
  • กลีบดอก (Petal): มักจะมีสีสันสวยงามและมีกลิ่นหอม เพื่อดึงดูดแมลงให้มาช่วยผสมเกสร
  • เกสรเพศผู้ (Stamen): ประกอบด้วย "อับเรณู" (Anther) ซึ่งมี "ละอองเรณู" (Pollen grain) อยู่ภายใน (เหมือนผงแป้งเล็กๆ) และ "ก้านชูอับเรณู" (Filament)
  • เกสรเพศเมีย (Pistil/Carpel): ประกอบด้วย "ยอดเกสรเพศเมีย" (Stigma) ที่มักจะเหนียวๆ สำหรับรับละอองเรณู "ก้านชูเกสรเพศเมีย" (Style) และ "รังไข่" (Ovary) ซึ่งภายในมี "ออวุล" (Ovule) บรรจุอยู่ และในออวุลนี่แหละครับคือที่อยู่ของเซลล์ไข่

กระบวนการสืบพันธุ์ของพืชดอก

กระบวนการนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากเลยครับ มีขั้นตอนต่อเนื่องกันไปดังนี้

  1. การถ่ายละอองเรณู (Pollination):

    ขั้นตอนนี้คือการที่ละอองเรณูจากเกสรเพศผู้ ถูกนำไปตกบนยอดเกสรเพศเมีย อาจจะเกิดขึ้นเองภายในดอกเดียวกัน (การถ่ายละอองเรณูในดอกเดียวกัน - Self-pollination) หรือจากดอกหนึ่งไปยังอีกดอกหนึ่ง (การถ่ายละอองเรณูข้ามดอก - Cross-pollination) ซึ่งการถ่ายละอองเรณูข้ามดอกนี้ มักจะอาศัยตัวช่วยต่างๆ เช่น

    • ลม: พืชบางชนิด เช่น ข้าว ข้าวโพด อาศัยลมพัดพาละอองเรณู
    • สัตว์: แมลง ผึ้ง ผีเสื้อ นก ค้างคาว มักจะเข้ามาตอมดอกไม้เพื่อดูดน้ำหวาน ทำให้ละอองเรณูติดตัวไปและพัดพาไปยังดอกอื่น
    • น้ำ: พืชน้ำบางชนิด

    เมื่อละอองเรณูตกลงบนยอดเกสรเพศเมียที่เหมาะสมแล้ว จะมีการงอกหลอดละอองเรณูเข้าไปในก้านชูเกสรเพศเมียเพื่อไปหารังไข่ครับ

  2. การปฏิสนธิ (Fertilization):

    หลังจากที่หลอดละอองเรณูงอกไปถึงออวุลในรังไข่ เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ (สเปิร์ม) ที่อยู่ในละอองเรณู จะเข้าผสมกับเซลล์ไข่ในออวุล กระบวนการนี้เรียกว่า "การปฏิสนธิ" ครับ

    สำหรับพืชดอก มีความพิเศษตรงที่มักเกิด การปฏิสนธิซ้อน (Double Fertilization) ซึ่งหมายถึงการที่เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ 2 ตัว เข้าไปผสมกับเซลล์ในถุงเอ็มบริโอพร้อมกัน โดยตัวหนึ่งผสมกับเซลล์ไข่เกิดเป็นไซโกต (ซึ่งจะพัฒนาเป็นต้นอ่อน) และอีกตัวหนึ่งผสมกับเซลล์โพลาฟอร์ม (Polar Nuclei) เกิดเป็นเอนโดสเปิร์ม (Endosperm) ซึ่งเป็นอาหารสะสมสำหรับต้นอ่อนในเมล็ด นั่นเองครับ

  3. การเกิดผลและเมล็ด:

    เมื่อเกิดการปฏิสนธิแล้ว รังไข่จะเจริญเติบโตไปเป็น "ผล" (Fruit) ส่วนออวุลภายในรังไข่จะเจริญไปเป็น "เมล็ด" (Seed) ภายในเมล็ดก็จะมีต้นอ่อน และอาหารสะสมที่พร้อมจะงอกเป็นต้นใหม่ต่อไปเมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสม

นี่คือกระบวนการพื้นฐานของพืชดอกที่ทำให้เกิดผลผลิตมากมายที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวันครับ จะเห็นได้ว่าการมีดอก มีเกสร มีการถ่ายละอองเรณู และการปฏิสนธิซ้อน คือลักษณะเฉพาะที่ทำให้การ สืบพันธุ์พืชแตกต่าง กันอย่างชัดเจนในกลุ่มพืชดอก

เจาะลึกการสืบพันธุ์ของพืชไม่มีดอก: ความเรียบง่ายที่ซับซ้อน

คราวนี้มาดูอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจจะไม่ค่อยมีสีสันหวือหวาเท่าพืชดอก แต่ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ "พืชไม่มีดอก" ครับ พืชกลุ่มนี้จะไม่สร้างดอก ผล หรือเมล็ดที่แท้จริง แต่ก็มีวิธีการสืบพันธุ์ที่แตกต่างออกไป เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์

ตัวอย่างพืชไม่มีดอกที่เราคุ้นเคยกันดีก็ได้แก่ มอส เฟิร์น ปรง สน และพวกสาหร่าย บางชนิด (แม้สาหร่ายบางชนิดจะไม่ได้จัดอยู่ในอาณาจักรพืชโดยตรง แต่ก็มักถูกนำมาเปรียบเทียบในบทเรียนพื้นฐาน) แล้วพวกเขา สืบพันธุ์พืชแตกต่าง จากพืชดอกยังไงบ้างนะ?

มอสและเฟิร์น: อาศัยสปอร์

  • มอส (Mosses):

    เป็นพืชขนาดเล็กที่เรามักเห็นตามพื้นดินชื้นๆ หรือเกาะตามหิน ต้นมอสที่เราเห็นเขียวๆ นั่นคือระยะแกมีโทไฟต์ (Gametophyte) ที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ (สเปิร์มและเซลล์ไข่) เมื่อมีน้ำ สเปิร์มจะว่ายไปผสมกับเซลล์ไข่ เกิดเป็นไซโกต แล้วพัฒนาเป็นระยะสปอโรไฟต์ (Sporophyte) ซึ่งจะงอกขึ้นมาเป็นก้านมีอับสปอร์อยู่ด้านบน เมื่อสปอร์แก่เต็มที่ อับสปอร์จะแตกออก ปล่อยสปอร์เล็กๆ ปลิวไปตามลม ไปงอกเป็นต้นมอสใหม่ต่อไป

  • เฟิร์น (Ferns):

    น้องๆ เคยสังเกตใต้ใบเฟิร์นไหมครับ จะมีจุดสีน้ำตาลเล็กๆ เรียงกันอยู่ บางชนิดก็เป็นเส้นๆ จุดเล็กๆ เหล่านั้นคือ "อับสปอร์" ครับ ภายในมีสปอร์จำนวนมาก เมื่อสปอร์แก่เต็มที่ก็จะปลิวไปตามลม หากตกลงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็จะงอกเป็นต้นอ่อนของเฟิร์นได้

    วงจรชีวิตของเฟิร์นจะสลับกันระหว่างระยะสปอโรไฟต์ (ต้นเฟิร์นที่เราเห็น) และระยะแกมีโทไฟต์ (ต้นขนาดเล็กคล้ายรูปหัวใจ ที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์และต้องอาศัยน้ำในการผสมพันธุ์) ซึ่งเป็นวงจรที่ซับซ้อนกว่าพืชดอกเล็กน้อยครับ

จะเห็นได้ว่าการใช้สปอร์เป็นการสืบพันธุ์ที่ค่อนข้างดั้งเดิมและพึ่งพาสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะน้ำ เพื่อให้เซลล์สืบพันธุ์เคลื่อนที่ได้ ซึ่งทำให้การ สืบพันธุ์พืชแตกต่าง กันกับพืชดอกที่อาศัยการถ่ายละอองเรณู

สนและปรง: พืชเมล็ดเปลือย

สนและปรง เป็นพืชในกลุ่ม "พืชเมล็ดเปลือย" (Gymnosperms) ซึ่งเป็นอีกกลุ่มของพืชไม่มีดอก (ในความหมายว่าไม่มีดอกแท้จริงแบบพืชดอก) แต่มีพัฒนาการก้าวหน้ากว่าพวกมอสหรือเฟิร์น ตรงที่พวกเขาสร้าง "เมล็ด" ได้แล้ว แต่เมล็ดของพวกเขาจะไม่มีรังไข่ห่อหุ้มอยู่ เหมือนเมล็ดข้าวโพดหรือเมล็ดถั่วที่เราเห็นในพืชดอก

  • การสืบพันธุ์:

    พืชกลุ่มนี้จะสร้างโครงสร้างที่เรียกว่า "โคน" หรือ "กรวย" (Cone) แทนดอก โคนมีทั้งโคนเพศผู้และโคนเพศเมีย

    • โคนเพศผู้: สร้างละอองเรณู
    • โคนเพศเมีย: สร้างออวุล (ที่มีเซลล์ไข่อยู่ภายใน)

    ละอองเรณูจะถูกลมพัดพาไปผสมกับออวุลในโคนเพศเมีย หลังจากการปฏิสนธิ ออวุลจะพัฒนาเป็นเมล็ด ซึ่งจะติดอยู่บนเกล็ดของโคนเพศเมียแบบเปลือยๆ ไม่มีผลมาห่อหุ้ม

นี่จึงเป็นอีกจุดที่ทำให้การ สืบพันธุ์พืชแตกต่าง กันอย่างชัดเจนระหว่างพืชดอกและพืชไม่มีดอกบางชนิด

ตารางสรุป: สืบพันธุ์พืชแตกต่าง กันตรงไหนบ้าง?

เพื่อให้น้องๆ เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น พี่ๆ ได้สรุปความแตกต่างที่สำคัญของการ สืบพันธุ์พืชแตกต่าง กันอย่างไรในแต่ละกลุ่มหลักๆ มาให้ในตารางนี้นะครับ

  • โครงสร้างสืบพันธุ์หลัก:
    • พืชดอก: ดอกไม้ ซึ่งมีเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียชัดเจน
    • พืชไม่มีดอก (มอส/เฟิร์น): อับสปอร์ (ที่สร้างสปอร์)
    • พืชไม่มีดอก (สน/ปรง): โคน (ที่สร้างละอองเรณูและออวุล)
  • หน่วยสืบพันธุ์:
    • พืชดอก: ละอองเรณู (จากเกสรเพศผู้) + เซลล์ไข่ (ในออวุล)
    • พืชไม่มีดอก (มอส/เฟิร์น): สปอร์
    • พืชไม่มีดอก (สน/ปรง): ละอองเรณู (จากโคนเพศผู้) + ออวุล (ในโคนเพศเมีย)
  • การพึ่งพาน้ำในการปฏิสนธิ:
    • พืชดอก: ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำในการเคลื่อนที่ของเซลล์สืบพันธุ์ (อาศัยหลอดละอองเรณู)
    • พืชไม่มีดอก (มอส/เฟิร์น): จำเป็นต้องมีน้ำ เพื่อให้สเปิร์มเคลื่อนที่ไปหาเซลล์ไข่
    • พืชไม่มีดอก (สน/ปรง): ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำ (อาศัยลมพัดพาละอองเรณู)
  • การเกิดเมล็ด/ผล:
    • พืชดอก: สร้างเมล็ด (อยู่ภายในผล)
    • พืชไม่มีดอก (มอส/เฟิร์น): ไม่สร้างเมล็ดหรือผล
    • พืชไม่มีดอก (สน/ปรง): สร้างเมล็ด (แต่เป็นเมล็ดเปลือย ไม่มีผลห่อหุ้ม)
  • ความหลากหลายของการถ่ายละอองเรณู:
    • พืชดอก: หลากหลาย ทั้งลม สัตว์ น้ำ และตัวเอง
    • พืชไม่มีดอก (สน/ปรง): ส่วนใหญ่เป็นลม

จากตารางนี้ น้องๆ จะเห็นภาพชัดเจนเลยใช่ไหมครับว่า สืบพันธุ์พืชแตกต่าง กันอย่างเป็นระบบตามวิวัฒนาการของพืชแต่ละกลุ่ม การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้ จะช่วยให้น้องๆ ตอบคำถามในข้อสอบได้อย่างมั่นใจ

ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญกับการเตรียมสอบ ม.1?

เรื่อง การสืบพันธุ์ของพืช เป็นหัวข้อพื้นฐานที่สำคัญมากๆ ในวิชาวิทยาศาสตร์ระดับประถมปลายและมักจะปรากฏในข้อสอบเข้า ม.1 เสมอครับ เพราะเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต ระบบนิเวศ และวงจรชีวิต

ข้อสอบมักจะออกในลักษณะเปรียบเทียบความแตกต่าง ถามถึงส่วนประกอบที่สำคัญ หรือกระบวนการที่เกิดขึ้นในพืชแต่ละชนิด การที่เราเข้าใจว่า สืบพันธุ์พืชแตกต่าง กันอย่างไร จะทำให้น้องๆ ไม่สับสน และสามารถวิเคราะห์โจทย์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำครับ

และนอกจากความรู้ในห้องเรียนแล้ว การเรียนรู้เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชยังช่วยให้เราเข้าใจความมหัศจรรย์ของธรรมชาติรอบตัวเราได้มากขึ้นอีกด้วยนะครับ!

เทคนิคพิชิตโจทย์การสืบพันธุ์พืช

พี่ๆ มีเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ มาฝากน้องๆ สำหรับการเตรียมตัวเรื่องนี้ครับ

  • วาดภาพประกอบ: ลองวาดโครงสร้างของดอกไม้ หรือวงจรชีวิตของเฟิร์นและมอสดูครับ การวาดจะช่วยให้เราจำส่วนประกอบและขั้นตอนต่างๆ ได้ดีขึ้น
  • จำลองสถานการณ์: ลองจินตนาการว่าตัวเองเป็นละอองเรณู หรือสปอร์ แล้วลองคิดดูว่าเราจะต้องเดินทางยังไงถึงจะไปถึงเป้าหมายได้ การคิดแบบนี้จะทำให้เข้าใจกระบวนการได้ง่ายขึ้น
  • เปรียบเทียบ: ใช้ตารางเปรียบเทียบที่เราทำกันไปเมื่อกี้ให้เป็นประโยชน์ครับ ลองปิดคำตอบแล้วลองนึกดูว่าพืชแต่ละชนิดมีอะไรที่เหมือนหรือแตกต่างกันบ้าง
  • ทำแบบฝึกหัด: สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฝึกทำโจทย์หลากหลายแนวครับ ยิ่งทำเยอะ ยิ่งคุ้นเคยกับรูปแบบคำถาม ยิ่งจับจุดได้ว่าข้อสอบชอบถามประเด็นไหน

การฝึกทำข้อสอบจะช่วยให้น้องๆ ได้ทบทวนความรู้และเข้าใจในสิ่งที่เรียนมามากยิ่งขึ้น เหมือนเป็นการฝึกซ้อมก่อนลงสนามจริงครับ ยิ่งเจอโจทย์ที่หลากหลาย ก็ยิ่งทำให้เราเก่งขึ้น และมั่นใจมากขึ้นด้วย

บทสรุป: ไม่ต้องกลัว! แค่เข้าใจหลักการ

เป็นยังไงบ้างครับน้องๆ และคุณพ่อคุณแม่? จากที่เคยคิดว่าเรื่อง การสืบพันธุ์ของพืช เป็นเรื่องยากซับซ้อน ตอนนี้พอจะเห็นภาพรวมและเข้าใจความแตกต่างหลักๆ ระหว่างพืชดอกและพืชไม่มีดอกได้ชัดเจนขึ้นแล้วใช่ไหมครับ

หัวใจสำคัญของการเรียนวิทยาศาสตร์ ไม่ได้อยู่ที่การท่องจำทั้งหมด แต่อยู่ที่การ ทำความเข้าใจหลักการ และ เห็นความเชื่อมโยง ครับ เมื่อเราเข้าใจว่าทำไม สืบพันธุ์พืชแตกต่าง กัน มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

พี่ๆ เชื่อว่าน้องๆ ทุกคนมีความสามารถที่จะเรียนรู้และเข้าใจเรื่องยากๆ ได้ครับ ขอแค่เปิดใจ สนุกกับการเรียนรู้ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ความสำเร็จในการสอบเข้า ม.1 ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วครับ

และหากการวางแผนนี้ทำให้น้องๆ หรือคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าการตะลุยโจทย์วิทยาศาสตร์คือสิ่งสำคัญ ทีมงาน TidMor1 ขอแนะนำ "ข้อสอบเข้า ม.1 วิทยาศาสตร์ 3,000 ข้อ" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบที่หลากหลาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ TidMor1.com นะครับ