เคล็ดลับจำเป็นระบบสำหรับวิชาที่ต้องท่องเยอะ

เขียนโดย: ทีมงาน TidMor1 | เผยแพร่เมื่อ: 16 ตุลาคม 2568

ระบบท่องจำ เทคนิคการเรียน เตรียมสอบเข้า ม.1 ติวสอบ การจำ

คุณพ่อคุณแม่และน้องๆ TidMor1 ที่น่ารักทุกคนครับ! พี่ๆ เข้าใจดีว่าการเรียนในระดับชั้น ป.6 ขึ้น ม.1 เนี่ย มีอะไรให้ต้องเรียนรู้เยอะแยะไปหมดเลยใช่ไหมครับ? โดยเฉพาะวิชาที่ต้องอาศัยการท่องจำเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ที่มีศัพท์เทคนิคเยอะแยะ หรือสังคมศึกษาที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์ วันที่สำคัญ หรือข้อมูลภูมิศาสตร์มากมาย แถมยังมีวิชาภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษที่ต้องจำหลักการและคำศัพท์อีก

เคยไหมที่นั่งอ่านตำราจนดึกดื่น คิดว่าจำได้ขึ้นใจแล้ว แต่พอไปเจอข้อสอบจริงกลับนึกไม่ออกซะอย่างนั้น? หรือรู้สึกว่าข้อมูลมันเยอะจนไม่รู้จะเริ่มจำตรงไหนก่อนดี? ไม่ต้องกังวลไปนะครับ! ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่น้องๆ หลายคนเจอ พี่ๆ TidMor1 เข้าใจความรู้สึกนั้นดีเลยครับ

บทความนี้ พี่จะมาแนะนำ "ระบบท่องจำ" ที่จะช่วยให้น้องๆ จำแม่นขึ้น ไม่ต้องเหนื่อยกับการอ่านซ้ำไปซ้ำมา และที่สำคัญคือจะช่วยให้น้องๆ เข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้วยนะครับ พร้อมแล้วเรามาดูกันเลย!

ทำไม 'ระบบท่องจำ' ถึงสำคัญมากสำหรับน้องๆ วัยนี้?

น้องๆ ทราบไหมครับว่าการเปลี่ยนผ่านจากชั้นประถมปลาย (ป.6) ไปสู่มัธยมต้น (ม.1) เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก การเรียนการสอนจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เนื้อหาจะเข้มข้นขึ้น มีรายละเอียดมากขึ้น และซับซ้อนขึ้นตามไปด้วย

  • ปริมาณข้อมูลที่มากขึ้น: น้องๆ จะเจอศัพท์ใหม่ๆ แนวคิดใหม่ๆ ในทุกวิชา การเรียนจะเน้นไปที่การทำความเข้าใจและวิเคราะห์มากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการท่องจำจะไม่สำคัญนะครับ
  • การเตรียมสอบเข้า ม.1: นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญ! การสอบเข้า ม.1 เป็นการแข่งขันที่ต้องอาศัยความรู้ที่แน่นและแม่นยำในทุกวิชา หากน้องๆ มีระบบท่องจำที่ดี จะช่วยลดความกังวลและเพิ่มความมั่นใจในการทำข้อสอบได้อย่างมหาศาลเลยล่ะครับ
  • สร้างพื้นฐานที่แข็งแรง: วิชาต่างๆ ในระดับมัธยมศึกษาจะมีความเชื่อมโยงกัน การจำข้อมูลพื้นฐานได้แม่นยำจะช่วยให้น้องๆ ต่อยอดความรู้ใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น
  • ลดความเครียด เพิ่มความมั่นใจ: เมื่อน้องๆ มีเทคนิคการจำที่ดี ไม่ต้องนั่งอ่านซ้ำเป็นสิบรอบ ความเครียดก็จะลดลง และความมั่นใจก็จะเพิ่มขึ้นตามมาเองครับ

ดังนั้น การมี "ระบบท่องจำ" ที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่ช่วยให้สอบได้คะแนนดี แต่ยังช่วยให้น้องๆ รักการเรียนรู้ และสนุกไปกับการค้นพบสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไม่ติดขัดอีกด้วยครับ

ก่อนเริ่มสร้าง 'ระบบท่องจำ' ต้องเข้าใจอะไรบ้าง?

ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกถึงเทคนิคต่างๆ พี่อยากให้น้องๆ และคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจพื้นฐานบางอย่างกันก่อนครับ เหมือนกับการสร้างบ้าน เราต้องมีฐานที่มั่นคงก่อนถึงจะสร้างบ้านให้แข็งแรงได้จริงไหมครับ

รู้จักสไตล์การเรียนรู้ของตัวเอง

เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมน้องบางคนชอบอ่านเงียบๆ บางคนชอบฟังคุณครูอธิบาย แล้วบางคนต้องลงมือทำถึงจะจำได้? นั่นเป็นเพราะเรามีสไตล์การเรียนรู้ที่แตกต่างกันครับ การรู้ว่าตัวเองเหมาะกับแบบไหน จะช่วยให้การสร้าง ระบบท่องจำ มีประสิทธิภาพมากขึ้น:

  • สไตล์มองเห็น (Visual Learner): น้องๆ กลุ่มนี้จะจำได้ดีเมื่อเห็นภาพ แผนผัง สีสัน หรือวิดีโอ เหมาะกับเทคนิคอย่าง Mind Map, แผนภาพ, การใช้ปากกาเน้นสี, หรือการดูคลิปสอน
  • สไตล์ได้ยิน (Auditory Learner): น้องๆ กลุ่มนี้จะจำได้ดีเมื่อได้ยินเสียง ได้พูดคุย หรือได้ฟังการบรรยาย เหมาะกับการอ่านออกเสียง, การอธิบายให้คนอื่นฟัง, การฟังไฟล์เสียงประกอบ, หรือการอัดเสียงตัวเองพูดแล้วเปิดฟังซ้ำ
  • สไตล์ลงมือทำ (Kinesthetic Learner): น้องๆ กลุ่มนี้จะจำได้ดีเมื่อได้เคลื่อนไหว ได้สัมผัส ได้ลงมือทำ หรือได้ทดลอง เหมาะกับการเขียนสรุป, การวาดรูป, การทดลองจริง, หรือการเดินไปมาขณะท่องจำ

ลองสังเกตตัวเองดูนะครับว่าน้องๆ เป็นแบบไหน หรือเป็นแบบผสมกันก็ได้นะ!

ความสำคัญของความเข้าใจ ไม่ใช่แค่การจำ

หัวใจสำคัญของการจำแม่นคือการ "เข้าใจ" ในสิ่งที่กำลังจะจำครับ การท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทองไปเรื่อยๆ โดยไม่เข้าใจความหมาย มักจะลืมง่าย และนำไปประยุกต์ใช้ในการทำข้อสอบจริงไม่ได้

ให้ลองคิดภาพตามนะครับ: ถ้าน้องจำสูตรคณิตศาสตร์ได้ แต่ไม่เข้าใจว่าสูตรนี้ใช้เมื่อไหร่ หรือแต่ละตัวแปรหมายถึงอะไร น้องก็จะไม่สามารถนำไปใช้แก้โจทย์ได้จริงใช่ไหมครับ? ดังนั้น ก่อนจะเริ่มท่องจำอะไร พยายามทำความเข้าใจภาพรวม และความเชื่อมโยงของเนื้อหานั้นๆ ก่อนเสมอ จะช่วยให้ ระบบท่องจำ ของเราทำงานได้ดีขึ้นหลายเท่าเลยครับ

กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน

การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้น้องๆ มีทิศทางในการจำ และไม่รู้สึกว่าต้องจำทุกสิ่งทุกอย่างไปซะหมด ลองกำหนดดูว่า:

  • ต้องจำอะไรบ้าง? (เช่น สูตรฟิสิกส์เรื่องแรง, ชื่อนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญ, วันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์)
  • ทำไมถึงต้องจำ? (เพื่อใช้ทำข้อสอบ, เพื่อเป็นความรู้พื้นฐานในการต่อยอด)
  • จะจำให้ได้เมื่อไหร่? (ตั้งเป้าหมายเป็นวันหรือสัปดาห์ เช่น ภายในวันศุกร์นี้ฉันจะจำคำศัพท์ชุดนี้ให้ได้ 30 คำ)

เมื่อมีเป้าหมายชัดเจน การเดินทางสู่การจำแม่นก็ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ

สุดยอด 'ระบบท่องจำ' ที่พี่ๆ TidMor1 อยากแนะนำ!

มาถึงช่วงที่น้องๆ รอคอยกันแล้วนะครับ! นี่คือสุดยอดเทคนิคการสร้าง ระบบท่องจำ ที่พี่ๆ ได้รวบรวมและพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลจริง ไม่ว่าน้องๆ จะถนัดการเรียนรู้แบบไหน ก็สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ได้เลยครับ

1. เทคนิค "มองภาพรวม" (Mind Mapping & Diagram)

เหมาะมากสำหรับน้องๆ ที่เป็น Visual Learner หรือชอบการเห็นภาพรวมของเนื้อหา เทคนิคนี้จะช่วยจัดระเบียบข้อมูลที่ยุ่งเหยิงให้กลายเป็นภาพที่เข้าใจง่าย

  • Mind Map (แผนที่ความคิด): เริ่มจากหัวข้อหลักอยู่ตรงกลาง แล้วแตกกิ่งก้านสาขาออกไปเป็นหัวข้อย่อยๆ พร้อมใส่คำสำคัญ รูปภาพ หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ใช้สีสันช่วยแยกแยะข้อมูลให้ชัดเจน เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ อาจใช้ Mind Map เพื่อสรุปวัฏจักรชีวิตของพืช สัตว์ หรือระบบต่างๆ ในร่างกาย หรือวิชาสังคมศึกษา สรุปเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยโยงความสัมพันธ์กันให้เห็นภาพ
  • Diagram (แผนภาพ/แผนผัง): ใช้เพื่อแสดงความสัมพันธ์เชิงลำดับขั้นตอน (เช่น การย่อยอาหาร) หรือความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล (เช่น ปัจจัยที่ทำให้เกิดการปฏิวัติ) การวาดรูปประกอบคำอธิบายจะช่วยให้จำได้แม่นขึ้นและเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นครับ

2. เทคนิค "เล่าเรื่อง/เพลง" (Storytelling & Songs/Rhymes)

ใครบอกว่าการจำข้อมูลต้องน่าเบื่อ? น้องๆ สามารถเปลี่ยนข้อมูลที่ดูแข็งๆ ให้กลายเป็นเรื่องเล่าสนุกๆ หรือเพลงที่ติดหูได้นะครับ!

  • การเล่าเรื่อง: ลองแปลงข้อมูลที่ต้องจำ เช่น ลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ หรือขั้นตอนกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ให้เป็นเรื่องเล่าที่มีตัวละคร สถานที่ หรือการกระทำที่น่าสนใจ สมองของเราจะจดจำเรื่องราวได้ดีกว่าตัวเลขหรือข้อเท็จจริงโดดๆ ยกตัวอย่างเช่น การจำลำดับราชวงศ์ หรือการจำลักษณะของหินประเภทต่างๆ
  • เพลงหรือบทกลอน/กลอนเปล่า: หลายคนอาจเคยจำสูตรคูณหรือตัวอักษรภาษาไทยจากเพลงใช่ไหมครับ? เทคนิคนี้ใช้ได้ผลกับข้อมูลอื่นๆ ด้วย เช่น การแต่งเพลงสั้นๆ หรือกลอนง่ายๆ เพื่อจำสูตรเคมี, ชื่อเฉพาะที่อ่านยาก, หรือคำศัพท์ยากๆ ลองดูสิครับ เพลงที่แต่งเองจะติดหูและช่วยให้จำได้ง่ายกว่าที่คิด!

3. เทคนิค "เชื่อมโยงความรู้เดิม" (Association & Mnemonics)

เทคนิคนี้คือการ "ผูก" สิ่งที่ต้องจำเข้ากับสิ่งที่เราจำได้อยู่แล้ว หรือสร้างภาพเชื่อมโยงที่แปลกประหลาดเพื่อช่วยให้จำได้

  • สร้างคำย่อ/อักษรย่อ (Acronyms): เช่น การจำลำดับสีรุ้ง "รจดเขนนม" (แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ม่วง) หรือการจำชื่อดาวเคราะห์ ลองสร้างคำย่อจากอักษรตัวแรกของสิ่งที่เราต้องการจำดูนะครับ
  • สร้างภาพในหัว (Visualization): ลองสร้างภาพที่แปลก ประหลาด ตลก หรือเกินจริงในจินตนาการ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน ยิ่งภาพนั้นชัดเจนและพิเศษเท่าไหร่ ยิ่งจำได้ดีเท่านั้น เช่น การจำชื่อจังหวัด น้องๆ อาจจะนึกถึงจังหวัดเชียงใหม่ที่มีคนกำลังเชียงไม้ หรือจังหวัดภูเก็ตที่มีคนกำลังถูกภูเขาเก็ต (จับ)
  • Memory Palace (สถานที่ในความทรงจำ): เทคนิคขั้นสูงขึ้นมาหน่อย คือการสมมติสถานที่ที่เราคุ้นเคย เช่น บ้าน ห้องนอน หรือเส้นทางเดินไปโรงเรียน แล้วนำข้อมูลที่เราต้องการจำไป "วาง" ไว้ตามจุดต่างๆ ในสถานที่นั้น เมื่อต้องการนึกถึงข้อมูล ก็แค่ "เดิน" ไปในสถานที่นั้นในจินตนาการ

4. เทคนิค "การ์ดคำศัพท์" (Flashcards & Spaced Repetition)

เป็นอีกหนึ่ง ระบบท่องจำ ที่ใช้ได้ผลดีเยี่ยมกับการจำข้อมูลแบบเป็นข้อๆ หรือคำศัพท์ต่างๆ

  • Flashcards (บัตรคำศัพท์): เขียนคำถามหรือคำศัพท์ไว้ด้านหนึ่ง และคำตอบหรือความหมายไว้ด้านหลัง ใช้สำหรับทบทวนตัวเองได้ทุกที่ทุกเวลา เช่น คำศัพท์ภาษาอังกฤษ, สูตรคณิตศาสตร์, วันที่สำคัญทางประวัติศาสตร์, ชื่อธาตุทางวิทยาศาสตร์ ควรมีภาพประกอบเล็กๆ น้อยๆ เพื่อช่วยจำ
  • Spaced Repetition (การทบทวนแบบเว้นระยะ): แทนที่จะทบทวนซ้ำๆ ทุกวันจนเบื่อ ลองทบทวนข้อมูลที่จำได้แม่นแล้วในระยะเวลาที่ห่างขึ้นเรื่อยๆ เช่น ทบทวนวันนี้, อีก 3 วัน, อีก 1 สัปดาห์, อีก 1 เดือน วิธีนี้จะช่วยให้ข้อมูลไปเก็บอยู่ในความจำระยะยาวได้ดีขึ้น ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ช่วยจัดการเรื่องนี้ เช่น Anki หรือ Quizlet ซึ่งช่วยให้น้องๆ ทบทวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. เทคนิค "สอนผู้อื่น" (Teach to Learn - Feynman Technique)

นี่คือเทคนิคที่ทรงพลังที่สุดในการตรวจสอบว่าเรา "เข้าใจ" ในสิ่งที่จำได้จริงหรือไม่

  • ลองอธิบาย: เมื่อน้องๆ จำข้อมูลอะไรได้แล้ว ลองหาคนฟัง (คุณพ่อคุณแม่, พี่น้อง, เพื่อน หรือแม้แต่ตุ๊กตา!) แล้วอธิบายเรื่องนั้นๆ ให้พวกเขาฟัง เหมือนน้องๆ เป็นคุณครู
  • ค้นหาช่องโหว่: ระหว่างที่อธิบาย น้องจะพบว่ามีจุดไหนบ้างที่ตัวเองยังอธิบายได้ไม่ชัดเจน หรือติดขัด นั่นแหละครับคือจุดที่น้องยังจำไม่แม่น หรือยังไม่เข้าใจถ่องแท้
  • กลับไปทบทวน: เมื่อเจอจุดที่ยังไม่เข้าใจ ก็กลับไปศึกษาเพิ่มเติมในส่วนนั้น แล้วลองอธิบายใหม่อีกครั้ง การทำซ้ำๆ แบบนี้จะช่วยให้ข้อมูลแข็งแรงและอยู่ในความจำระยะยาว

6. เทคนิค "แบ่งย่อยเป็นชิ้นเล็กๆ" (Chunking)

ข้อมูลที่เยอะๆ มักจะทำให้เรารู้สึกท้อแท้และไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดีใช่ไหมครับ? เทคนิคนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้ดีเลย

  • "กินช้างทีละคำ": เหมือนกับเวลาเราจะกินช้างทั้งตัวคงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราแบ่งช้างออกเป็นชิ้นเล็กๆ เราก็สามารถกินมันได้จนหมด การจำข้อมูลก็เช่นกันครับ
  • แบ่งเป็นกลุ่ม: แทนที่จะพยายามจำทุกอย่างพร้อมกัน ลองแบ่งเนื้อหาใหญ่ออกเป็นหัวข้อย่อยๆ หรือกลุ่มย่อยๆ ที่มีความเชื่อมโยงกัน แล้วค่อยๆ ทยอยจำทีละกลุ่ม เช่น ถ้าต้องจำชื่อประเทศในอาเซียน 10 ประเทศ แทนที่จะจำพรวดเดียวทั้งหมด อาจจะแบ่งเป็นกลุ่มประเทศภาคพื้นทวีปและกลุ่มประเทศหมู่เกาะ แล้วค่อยๆ จำทีละกลุ่มก็ได้ครับ

7. เทคนิค "ฝึกทำข้อสอบและโจทย์" (Practice & Application)

การท่องจำนั้นสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการนำความรู้นั้นไปใช้จริง การฝึกทำข้อสอบและโจทย์ต่างๆ เป็นการทดสอบ ระบบท่องจำ ของเราได้ดีที่สุด

  • ทบทวนความเข้าใจ: เมื่อทำข้อสอบ น้องจะเห็นว่าความรู้ที่จำมานั้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้มากน้อยแค่ไหน
  • ระบุจุดอ่อน: ข้อไหนที่ทำไม่ได้หรือไม่มั่นใจ แสดงว่าเป็นจุดที่ต้องกลับไปทบทวนและทำความเข้าใจเพิ่มเติม
  • สร้างความคุ้นเคย: การทำข้อสอบบ่อยๆ จะทำให้น้องคุ้นเคยกับรูปแบบคำถาม แนวทางการออกข้อสอบ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการสอบเข้า ม.1

เทคนิคนี้ถือเป็นการผสมผสานระหว่างการท่องจำและการนำไปใช้จริงได้อย่างลงตัวครับ

8. สร้าง 'ระบบท่องจำ' ให้เป็นกิจวัตร (Make it a Habit)

ไม่ว่าเทคนิคจะดีแค่ไหน หากขาดความสม่ำเสมอ ก็ไม่สามารถสร้าง ระบบท่องจำ ที่แข็งแรงได้ครับ

  • จำน้อยๆ แต่บ่อยๆ: ดีกว่าการหักโหมจำครั้งละมากๆ แล้วลืมไปในไม่กี่วัน ลองจัดสรรเวลาสั้นๆ ประมาณ 15-20 นาทีในแต่ละวัน เพื่อทบทวนเนื้อหาที่ต้องจำ
  • หาช่วงเวลาที่เหมาะสม: สังเกตว่าน้องๆ จำได้ดีที่สุดช่วงไหนของวัน เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน หรือก่อนนอน แล้วจัดตารางการทบทวนให้สอดคล้องกับช่วงเวลานั้น
  • ให้รางวัลตัวเอง: เมื่อทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อย่าลืมให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ กับตัวเอง เพื่อเป็นกำลังใจในการเรียนรู้ต่อไปนะครับ!

บทบาทของคุณพ่อคุณแม่ในการสนับสนุน 'ระบบท่องจำ' ของน้องๆ

คุณพ่อคุณแม่คือส่วนสำคัญที่จะช่วยให้น้องๆ มี ระบบท่องจำ ที่แข็งแรงและประสบความสำเร็จในการเรียนนะครับ

  • ให้กำลังใจและชื่นชม: การให้กำลังใจเมื่อน้องทำได้ หรือแม้แต่ตอนที่น้องพยายาม จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้น้องอยากเรียนรู้ต่อไป
  • เป็นผู้ฟังที่ดี: เมื่อน้องๆ ต้องการใช้เทคนิค "สอนผู้อื่น" คุณพ่อคุณแม่สามารถเป็นผู้ฟังที่ดี เป็น "นักเรียน" ที่ตั้งใจฟังและตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้น้องคิดตามได้
  • จัดหาสื่อและอุปกรณ์ที่เหมาะสม: เช่น กระดาษสีสำหรับ Mind Map, การ์ดเปล่าสำหรับ Flashcards, หรือแม้แต่การเปิดโอกาสให้น้องได้ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งต่างๆ
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้: บรรยากาศที่สงบ เป็นระเบียบ จะช่วยให้น้องมีสมาธิในการจำและการทบทวน
  • ไม่กดดันมากเกินไป: การเรียนรู้เป็นเรื่องของการเดินทาง ไม่ใช่การวิ่งแข่ง การเข้าใจและสนับสนุนจะดีกว่าการกดดันให้น้องจำให้ได้เพียงอย่างเดียว

จำไว้นะครับว่า ทุกคนมีความสามารถในการจำ เพียงแค่ต้องค้นหา ระบบท่องจำ หรือเทคนิคที่เหมาะสมกับตัวเอง และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

พี่ๆ TidMor1 เชื่อว่าน้องๆ ทุกคนมีความสามารถที่จะเรียนรู้และจดจำได้อย่างยอดเยี่ยม ขอแค่มีความตั้งใจและไม่ย่อท้อ การสร้าง ระบบท่องจำ ที่แข็งแรงเป็นรากฐานสำคัญสู่ความสำเร็จในการเรียนรู้ ไม่ใช่แค่สำหรับการสอบเข้า ม.1 เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิตเลยครับ

ขอให้น้องๆ สนุกกับการเรียนรู้และค้นพบเทคนิคที่ใช่สำหรับตัวเองนะครับ!

และหากการวางแผนนี้ทำให้น้องๆ หรือคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าการตะลุยโจทย์วิทยาศาสตร์คือสิ่งสำคัญ ทีมงาน TidMor1 ขอแนะนำ "ข้อสอบเข้า ม.1 วิทยาศาสตร์ 3,000 ข้อ" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบที่หลากหลาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ TidMor1.com นะครับ