สมบัติของเสียง: ความดังและความถี่แตกต่างกันอย่างไร

เขียนโดย: ทีมงาน TidMor1 | เผยแพร่เมื่อ: 5 กันยายน 2568

สมบัติของเสียง ความดัง ความถี่ แตกต่าง วิทยาศาสตร์ ป.6 เตรียมสอบ ม.1

คุณพ่อคุณแม่และน้องๆ ป.6 ที่กำลังเตรียมตัวสอบเข้า ม.1 คงจะเคยได้ยินคำว่า “เสียง” กันมาเยอะแล้วใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี เสียงพูดคุย เสียงออดโรงเรียน หรือแม้กระทั่งเสียงจากพายุฝน แต่เคยสังเกตไหมว่าเสียงแต่ละเสียงที่เราได้ยิน มันมีความพิเศษที่ไม่เหมือนกันเลยนะ!

บางเสียงก็ดังลั่นจนแสบแก้วหู แต่บางเสียงก็เบาหวิวแทบไม่ได้ยิน หรือบางเสียงก็แหลมสูงปี๊ดบาดหู แต่บางเสียงก็ทุ้มต่ำลึกจนรู้สึกสั่นสะเทือน เคยสงสัยกันไหมว่า อะไรกันนะที่ทำให้เสียงเหล่านี้ มีความดังและความถี่แตกต่างกัน แล้วสองอย่างนี้มันเกี่ยวข้องกันยังไง หรือเป็นคนละเรื่องกันเลย?

เรื่อง ความดัง ความถี่ แตกต่าง กันอย่างไร เป็นหัวข้อสำคัญในวิชาวิทยาศาสตร์ที่น้องๆ มักจะเจอในข้อสอบเข้า ม.1 บ่อยๆ เลยนะครับ แต่ไม่ต้องกังวลไป! วันนี้พี่ๆ ทีมงาน TidMor1 จะพาไปทำความเข้าใจเรื่องสมบัติของเสียงทั้งสองอย่างนี้แบบละเอียดลึกซึ้ง พร้อมกับตัวอย่างใกล้ตัวที่เข้าใจง่าย รับรองว่าอ่านจบแล้วจะร้อง "อ๋อ" ทันที ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่หรือน้องๆ เองก็จะกระจ่างแจ้ง และพร้อมพิชิตข้อสอบเรื่องเสียงได้อย่างสบายใจแน่นอนครับ

เสียงคืออะไรกันนะ? มาทำความเข้าใจกันก่อน!

ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกเรื่อง ความดังและความถี่ เรามาทบทวนกันก่อนว่า “เสียง” จริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่? พูดง่ายๆ เลยก็คือ เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของแหล่งกำเนิดเสียงครับ

ลองนึกภาพตามพี่นะครับ:

  • เวลาเราดีดสายกีตาร์ สายกีตาร์จะสั่นสะเทือนใช่ไหมครับ? การสั่นนี้แหละที่ทำให้เกิดเสียง
  • หรือเวลาเราตีกลอง หน้ากลองก็จะสั่นสะเทือน
  • แม้แต่เวลาเราพูด ลำคอของเรา (เส้นเสียง) ก็กำลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา

การสั่นสะเทือนเหล่านี้จะทำให้โมเลกุลของอากาศ (หรือน้ำ หรือของแข็ง) รอบๆ มันสั่นตามไปด้วย แล้วก็ส่งต่อการสั่นสะเทือนเป็นทอดๆ ออกไปในรูปของ “คลื่นเสียง” เหมือนเวลาเราโยนหินลงน้ำ แล้วเกิดคลื่นแผ่ออกไปเป็นวงกลมๆ นั่นแหละครับ เจ้าคลื่นเสียงนี้ก็จะเดินทางมาถึงหูของเรา ทำให้เยื่อแก้วหูสั่นสะเทือน แล้วสมองก็แปลผลออกมาเป็นเสียงที่เราได้ยินนั่นเอง

เข้าใจง่ายๆ คือ ถ้าไม่มีการสั่นสะเทือน ก็ไม่มีเสียงเกิดขึ้นครับ และเสียงจำเป็นต้องมี "ตัวกลาง" ในการเดินทางด้วยนะ ถ้าอยู่ในอวกาศที่ไม่มีอากาศ เสียงก็เดินทางไม่ได้เลย!

มาทำความรู้จัก 'ความดัง' ของเสียงกันเถอะ

เอาล่ะครับ เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าเสียงเกิดจากการสั่น ทีนี้เรามาดูกันว่า ความดัง ของเสียงคืออะไรกันแน่?

ความดังคืออะไร?

ความดังของเสียง หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "ความเข้มเสียง" (Intensity) คือปริมาณพลังงานของคลื่นเสียงที่แผ่ออกมาครับ ยิ่งพลังงานมาก เสียงก็ยิ่งดัง ยิ่งพลังงานน้อย เสียงก็ยิ่งเบา

ลองนึกภาพน้องๆ แกว่งชิงช้าดูนะครับ:

  • ถ้าออกแรงผลักชิงช้าเบาๆ ชิงช้าก็จะแกว่งไปข้างหน้าได้ไม่สูงมาก ใช่ไหมครับ? อันนี้ก็เหมือนกับ เสียงที่เบา พลังงานน้อย
  • แต่ถ้าออกแรงผลักชิงช้าแรงๆ ชิงช้าก็จะแกว่งขึ้นไปสูงมากๆ เลย! อันนี้แหละครับที่เปรียบได้กับ เสียงที่ดัง พลังงานมาก

ในทางวิทยาศาสตร์ เราจะเรียกขนาดของการสั่นสะเทือน หรือ "การกระจัด" ของอนุภาคตัวกลางว่า "แอมพลิจูด" (Amplitude) ครับ ยิ่งแอมพลิจูดมาก เสียงก็ยิ่งดัง ยิ่งแอมพลิจูดยิ่งน้อย เสียงก็ยิ่งเบา นั่นเอง

หน่วยที่เราใช้วัด ความดังของเสียง ก็คือ เดซิเบล (decibel, dB) ครับ ยิ่งค่าเดซิเบลสูง เสียงก็ยิ่งดังมาก เช่น เสียงกระซิบอาจจะแค่ 30 dB แต่เสียงเครื่องบินไอพ่นอาจจะสูงถึง 140 dB เลยทีเดียว

อะไรบ้างที่ส่งผลต่อ 'ความดัง' ของเสียง?

มีหลายปัจจัยเลยนะครับที่ทำให้เสียงที่เราได้ยินมีความดังไม่เท่ากัน ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง:

  • พลังงานจากแหล่งกำเนิดเสียง: เป็นปัจจัยหลักเลยครับ ถ้าแหล่งกำเนิดเสียงมีพลังงานมาก เสียงก็จะดังมาก เช่น เราตะโกนเสียงก็จะดังกว่าเรากระซิบ หรือรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆ ก็จะส่งเสียงดังกว่าจักรยานที่ไม่มีเครื่องยนต์
  • ระยะทางจากแหล่งกำเนิดเสียง: ยิ่งเราอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดเสียงมากเท่าไหร่ เสียงก็จะยิ่งดังมากเท่านั้นครับ และจะเบาลงเรื่อยๆ เมื่อเราอยู่ห่างออกไป เหมือนเวลาเรายืนอยู่ใกล้เวทีคอนเสิร์ตเสียงจะดังมาก พอเดินออกมาไกลๆ เสียงก็จะเบาลง
  • สิ่งกีดขวางหรือตัวดูดซับเสียง: ผนังห้อง ผ้าม่าน หรือวัสดุที่นุ่มๆ จะช่วยดูดซับเสียง ทำให้เสียงไม่สามารถเดินทางผ่านไปได้สะดวก เสียงที่เราได้ยินก็จะเบาลงครับ นี่คือเหตุผลว่าทำไมห้องอัดเสียงถึงต้องมีผนังบุด้วยวัสดุพิเศษ
  • ชนิดของตัวกลางที่เสียงเดินทางผ่าน: เสียงเดินทางผ่านตัวกลางได้ไม่เท่ากันครับ เสียงเดินทางได้ดีในของแข็ง > ของเหลว > ก๊าซ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพ่อคุณแม่เอาหูแนบกำแพง แล้วน้องๆ ไปเคาะกำแพงเบาๆ คุณพ่อคุณแม่จะได้ยินเสียงเคาะชัดกว่าตอนเคาะอากาศใกล้ๆ หูเลยครับ

เห็นไหมครับว่า ความดังของเสียง มีอะไรให้เรียนรู้เยอะเลย การเข้าใจเรื่องนี้ช่วยให้น้องๆ เข้าใจว่าทำไมบางเสียงถึงอันตรายต่อหู และเราควรระมัดระวังยังไงด้วยนะ

แล้ว 'ความถี่' ของเสียงล่ะ คืออะไร?

หลังจากรู้จัก ความดัง ไปแล้ว ทีนี้เรามาทำความเข้าใจอีกหนึ่งสมบัติที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือ ความถี่ของเสียง ครับ

ความถี่คืออะไร?

ความถี่ของเสียง คือจำนวนรอบของการสั่นสะเทือนของแหล่งกำเนิดเสียงในหนึ่งวินาทีครับ พูดง่ายๆ ก็คือ มันบอกว่าคลื่นเสียงนั้นสั่น "เร็วแค่ไหน" ยิ่งสั่นเร็วมากเท่าไหร่ เสียงก็จะยิ่งแหลมสูง และถ้ายิ่งสั่นช้า เสียงก็จะยิ่งทุ้มต่ำลงครับ

พี่มีตัวอย่างที่น้องๆ น่าจะเห็นภาพชัดเจนนะครับ ลองนึกถึงสายกีตาร์อีกครั้ง:

  • สายกีตาร์เส้นเล็กๆ หรือสายที่ขึงตึงๆ เวลาดีด มันจะสั่นสะเทือนอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด เสียงที่แหลมสูง
  • แต่สายกีตาร์เส้นใหญ่ๆ หรือสายที่หย่อนๆ เวลาดีด มันจะสั่นสะเทือนช้ากว่า ทำให้เกิด เสียงที่ทุ้มต่ำ

ความถี่นี่แหละครับที่ทำให้เสียงของผู้หญิงส่วนใหญ่แหลมกว่าเสียงของผู้ชาย หรือเสียงของเด็กเล็กๆ แหลมกว่าเสียงของผู้ใหญ่ เพราะเส้นเสียงของผู้หญิงและเด็กจะสั้นและบางกว่า ทำให้สั่นด้วยความถี่สูงกว่านั่นเอง

หน่วยที่เราใช้วัด ความถี่ของเสียง คือ เฮิรตซ์ (Hertz, Hz) ครับ 1 เฮิรตซ์ คือ การสั่น 1 รอบใน 1 วินาที ยิ่งค่าเฮิรตซ์สูง เสียงก็จะยิ่งแหลมสูง เช่น เสียงนกหวีดอาจมีความถี่สูงกว่า 2,000 Hz ในขณะที่เสียงกลองใหญ่ๆ อาจมีความถี่แค่ 50-100 Hz

อะไรบ้างที่ส่งผลต่อ 'ความถี่' ของเสียง?

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ ความถี่ของเสียง จะแตกต่างกับความดังนะครับ มีอะไรบ้างมาดูกันเลย:

  • ขนาด รูปร่าง และความยาวของแหล่งกำเนิดเสียง:
    • ความยาว: แหล่งกำเนิดที่สั้นจะสั่นได้เร็วกว่า ทำให้เกิดเสียงแหลม เช่น ปี่ที่สั้นกว่าจะมีเสียงแหลมกว่าปี่ที่ยาวกว่า
    • ขนาด/มวล: วัตถุที่เล็กกว่าหรือมีมวลน้อยกว่าจะสั่นด้วยความถี่สูงกว่า ทำให้เกิดเสียงแหลม เช่น เหรียญบาทตกกระทบพื้นเสียงจะแหลมกว่าเสียงทุ้มของลูกโบว์ลิ่งที่ตกลงพื้น
  • ความตึงหรือความหนาแน่นของแหล่งกำเนิดเสียง:
    • ความตึง: ยิ่งวัตถุที่สั่นมีความตึงมากเท่าไหร่ ก็จะสั่นเร็วขึ้นเท่านั้น ทำให้เสียงแหลมขึ้น เช่น การตั้งสายกีตาร์ให้ตึงขึ้น จะทำให้เสียงแหลมขึ้น
    • ความหนาแน่น: วัสดุที่หนาแน่นน้อยกว่าจะสั่นเร็วกว่า ทำให้เสียงแหลมกว่า
  • ชนิดของตัวกลาง: ถึงแม้ตัวกลางจะส่งผลต่อความดัง เสียงก็ยังคงความถี่เดิมไว้ได้ ไม่ว่าจะเดินทางผ่านอากาศ น้ำ หรือของแข็ง แต่ความเร็วเสียงจะเปลี่ยนไป

การเข้าใจ ความถี่ของเสียง จะช่วยให้น้องๆ เข้าใจเรื่องดนตรี เสียงของสัตว์ หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีอย่างอัลตราซาวนด์ได้ง่ายขึ้นอีกด้วยครับ

ความดังและความถี่ แตกต่างกันอย่างไร? สรุปชัดๆ!

มาถึงช่วงสำคัญที่สุดแล้วครับ! หลังจากที่เราทำความรู้จักกับ ความดัง และ ความถี่ กันไปแล้ว น้องๆ คงเริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับว่าทั้งสองอย่างนี้มัน แตกต่างกันอย่างไร และไม่เหมือนกันเลยนะ!

พี่ๆ สรุปความแตกต่างให้เป็นข้อๆ เพื่อให้น้องๆ เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น และนำไปใช้ในการตอบคำถามหรือทำข้อสอบได้อย่างแม่นยำครับ

ความดัง (Loudness / Intensity):

  • วัดอะไร?: เป็นการวัดปริมาณ "พลังงาน" ของคลื่นเสียง หรือขนาดของการสั่นสะเทือน (แอมพลิจูด)
  • ให้ความรู้สึกอย่างไร?: บอกถึงความ "เบา" หรือ "หนัก" ของเสียง
  • หน่วยวัด: เดซิเบล (dB)
  • ปัจจัยที่ส่งผล: พลังงานจากแหล่งกำเนิด, ระยะทาง, สิ่งกีดขวาง, ชนิดของตัวกลาง
  • เปลี่ยนได้ไหม?: สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น การลดเสียงวิทยุ หรือการอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดเสียง
  • ตัวอย่าง: เสียงกระซิบ (เบา), เสียงรถยนต์ (ดัง), เสียงเครื่องบินเจ็ต (ดังมาก)

ความถี่ (Frequency / Pitch):

  • วัดอะไร?: เป็นการวัดจำนวน "รอบการสั่นสะเทือน" ในหนึ่งวินาที
  • ให้ความรู้สึกอย่างไร?: บอกถึงความ "ทุ้ม" หรือ "แหลม" ของเสียง (Pitch)
  • หน่วยวัด: เฮิรตซ์ (Hz)
  • ปัจจัยที่ส่งผล: ขนาด, รูปร่าง, ความยาว, ความตึง, ความหนาแน่นของแหล่งกำเนิดเสียง
  • เปลี่ยนได้ไหม?: การเปลี่ยนความถี่ทำได้ยากกว่าความดัง ต้องเปลี่ยนคุณสมบัติของแหล่งกำเนิดเสียง เช่น เปลี่ยนสายกีตาร์ หรือปรับความตึงของสาย
  • ตัวอย่าง: เสียงขลุ่ย (แหลม), เสียงระนาดทุ้ม (ทุ้ม), เสียงผู้ชาย (ทุ้ม), เสียงผู้หญิง (แหลม)

จะเห็นได้ชัดว่า ความดังและความถี่แตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิงครับ ทั้งสองอย่างนี้เป็นอิสระต่อกัน นั่นหมายความว่า เราสามารถมี เสียงที่ดังและแหลม (เช่น เสียงกรี๊ด) หรือ เสียงที่ดังและทุ้ม (เช่น เสียงฟ้าร้อง) ได้ หรือแม้แต่ เสียงที่เบาแต่แหลม (เช่น เสียงกระซิบของเด็ก) หรือ เสียงที่เบาแต่ทุ้ม (เช่น เสียงลมหายใจเบาๆ) ก็เป็นไปได้ทั้งนั้นครับ

การที่น้องๆ แยกแยะ ความดัง ความถี่ แตกต่าง กันอย่างไรได้ จะช่วยให้น้องๆ เข้าใจหลักการของเสียงได้ลึกซึ้ง และไม่สับสนเมื่อเจอโจทย์ที่ถามถึงสมบัติเหล่านี้ในข้อสอบเลยครับ

ทำไมเรื่อง 'สมบัติของเสียง' ถึงสำคัญกับการเรียนและการสอบเข้า ม.1?

คุณพ่อคุณแม่และน้องๆ อาจจะสงสัยว่า ทำไมเราต้องมานั่งทำความเข้าใจเรื่อง ความดังและความถี่แตกต่างกัน อย่างละเอียดขนาดนี้ด้วยนะ? คำตอบก็คือ เรื่อง สมบัติของเสียง เป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาวิทยาศาสตร์แขนงฟิสิกส์ ที่น้องๆ จะต้องเรียนต่อยอดไปอีกในอนาคตครับ

นอกจากนี้ ในข้อสอบวิทยาศาสตร์เพื่อเข้า ม.1 ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนดังๆ หรือโรงเรียนทั่วไป ก็มักจะนำความรู้เรื่องเสียงมาออกข้อสอบอยู่เสมอ โดยอาจจะมาในรูปแบบของสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน หรือการทดลองง่ายๆ ที่ให้น้องๆ วิเคราะห์ว่าเสียงที่เกิดขึ้นนั้นมี ความดัง หรือ ความถี่ เป็นอย่างไร

การที่น้องๆ เข้าใจพื้นฐานนี้อย่างถ่องแท้ ไม่ใช่แค่ท่องจำ แต่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลได้ จะทำให้น้องๆ ได้เปรียบอย่างมากในการสอบ เพราะวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องอาศัยความเข้าใจครับ ไม่ใช่แค่การจำสูตรหรือนิยาม

และที่สำคัญที่สุดคือ การเรียนรู้เรื่องเสียงยังเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจโลกรอบตัวเราได้ดีขึ้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดนตรี การสื่อสาร หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีต่างๆ ที่ใช้ประโยชน์จากเสียง การเรียนวิทยาศาสตร์ไม่ควรเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ควรเป็นการเปิดโลกทัศน์และกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นนะครับ

บทสรุป: เข้าใจความดังและความถี่ ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด!

เป็นยังไงบ้างครับน้องๆ และคุณพ่อคุณแม่? จากที่เราได้ใช้เวลาทำความเข้าใจกันอย่างละเอียดในวันนี้ พี่เชื่อว่าทุกคนคงจะเห็นภาพชัดเจนแล้วนะครับว่า สมบัติของเสียง: ความดังและความถี่แตกต่างกันอย่างไร ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดเลยใช่ไหมครับ

ความดัง คือพลังงานของเสียงที่ทำให้เรารู้สึกว่าเสียงนั้นเบาหรือหนัก
ส่วน ความถี่ คือการสั่นของเสียงที่ทำให้เรารู้สึกว่าเสียงนั้นทุ้มหรือแหลม

ทั้งสองอย่างนี้เป็นสมบัติที่สำคัญและเป็นอิสระต่อกัน แต่ก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญมากๆ สำหรับวิชาวิทยาศาสตร์ที่น้องๆ จะต้องเจอในหลักสูตร รวมถึงในข้อสอบเข้า ม.1 ด้วย

พี่ๆ เข้าใจดีว่าการเตรียมตัวสอบเข้า ม.1 อาจจะดูยิ่งใหญ่และน่ากังวลสำหรับน้องๆ หลายคน รวมถึงคุณพ่อคุณแม่เองก็คงมีความเป็นห่วง แต่ขอให้รู้ไว้ว่า "ความเข้าใจ" คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การท่องจำนะครับ

อย่ากลัวที่จะสงสัย อย่ากลัวที่จะถาม และอย่ากลัวที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทุกการตั้งคำถามและทุกความพยายามที่จะทำความเข้าใจ จะทำให้น้องๆ เก่งขึ้นและฉลาดขึ้นเสมอ พี่ๆ ทีมงาน TidMor1 ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคน และคุณพ่อคุณแม่ที่สนับสนุนน้องๆ อยู่ข้างๆ เสมอนะครับ!

และหากการวางแผนนี้ทำให้น้องๆ หรือคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าการตะลุยโจทย์วิทยาศาสตร์คือสิ่งสำคัญ ทีมงาน TidMor1 ขอแนะนำ "ข้อสอบเข้า ม.1 วิทยาศาสตร์ 3,000 ข้อ" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบที่หลากหลาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ TidMor1.com นะครับ