คุณพ่อคุณแม่และน้องๆ ที่น่ารักของพี่ๆ ทีมงาน TidMor1 เป็นยังไงกันบ้างครับ? เคยรู้สึกไหมว่าเวลา อ่านหนังสือเตรียมสอบเข้า ม.1 หรือวิชาที่ต้องจำเยอะๆ อย่างสังคม ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ชีววิทยา แม้จะอ่านทบทวนหลายรอบแล้ว แต่พอเจอข้อสอบจริงกลับนึกไม่ออก หรือจำสลับกันไปหมด? ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่แค่เราที่เป็นแบบนั้น น้องๆ อีกหลายคนก็ประสบปัญหาเดียวกัน
บางทีการเรียนรู้ด้วยสายตาอย่างเดียว อาจจะยังไม่พอสำหรับทุกคนนะครับ วันนี้พี่ๆ TidMor1 จะมาแนะนำอีกหนึ่งเคล็ดลับเด็ดที่อาจจะกลายเป็นตัวช่วยสำคัญให้การเรียนรู้ของน้องๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นหลายเท่าตัว นั่นก็คือ "การใช้ เสียง ช่วยในการเรียนรู้" นั่นเองครับ
เรามาดูกันว่าพลังของเสียงจะช่วยเปลี่ยนการอ่านหนังสือที่น่าเบื่อ ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ และช่วยให้น้องๆ เข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งขึ้นได้อย่างไรบ้าง เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปค้นพบมิติใหม่ของการเรียนรู้ที่สนุกและได้ผลไปพร้อมกันเลยครับ!
ทำไม 'เสียง' ถึงมีพลังในการเรียนรู้มากกว่าที่คุณคิด?
เคยสงสัยกันไหมครับว่าทำไมเราถึงจำเพลงโฆษณาที่ฟังไม่กี่ครั้งได้ขึ้นใจ หรือจำบทสวดที่เราเคยท่องมาตั้งแต่เด็กได้เป๊ะๆ? นั่นเป็นเพราะว่าสมองของเราไม่ได้ประมวลผลข้อมูลจากแค่การมองเห็นเพียงอย่างเดียวครับ แต่ยังเปิดรับและจดจำข้อมูลจาก "เสียง" ได้ดีไม่แพ้กันเลย
การที่ เสียงช่วยเรียนรู้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับหลายอย่างเลยครับ
- กระตุ้นการทำงานของสมองหลายส่วน: เมื่อเราได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นเสียงของเราเอง หรือเสียงของผู้อื่น สมองจะถูกกระตุ้นในหลายพื้นที่พร้อมกัน ทั้งส่วนที่เกี่ยวกับภาษา การประมวลผลเสียง และความจำ ทำให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลที่แข็งแรงขึ้น
- ลดสิ่งรบกวนภายนอก: การจดจ่ออยู่กับเสียงช่วยให้เรามีสมาธิมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเราฟังผ่านหูฟัง จะช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้างลง ทำให้ใจจดจ่ออยู่กับเนื้อหาที่กำลังเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
- สร้างความหลากหลายในการรับข้อมูล: คนแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่ถนัดไม่เหมือนกัน บางคนถนัดมอง (Visual Learner) บางคนถนัดลงมือทำ (Kinesthetic Learner) และบางคนถนัดฟัง (Auditory Learner) การใช้เสียงเข้ามาเสริมจะช่วยตอบโจทย์ผู้เรียนกลุ่ม Auditory Learner ได้เป็นอย่างดี และยังเป็นการเพิ่มช่องทางการรับข้อมูลให้หลากหลาย ทำให้สมองมีโอกาสจดจำได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะถนัดแบบไหนก็ตาม
- เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา: แค่มีหูฟังและอุปกรณ์เล่นเสียง น้องๆ ก็สามารถทบทวนบทเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นบนรถเมล์ ตอนเดินเล่น หรือแม้แต่ตอนช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานบ้าน ทำให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์สูงสุด
ด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง การใช้เสียงจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างมากในการพัฒนาการเรียนรู้และช่วยให้น้องๆ สอบเข้า ม.1 ได้อย่างมั่นใจในทุกวิชาครับ
ส่องประโยชน์ล้นหลามเมื่อ 'เสียงช่วยเรียนรู้' น้องๆ จะได้อะไรบ้าง?
นอกเหนือจากเหตุผลทางสมองและจิตวิทยาแล้ว การนำ เสียงช่วยเรียนรู้ มาใช้ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งจะช่วยให้น้องๆ ได้เปรียบในการเตรียมตัวสอบ และพัฒนาทักษะที่สำคัญในระยะยาวด้วยครับ
-
เพิ่มประสิทธิภาพการจำและการจดจ่อ:
- การฟังซ้ำๆ ช่วยเสริมการจดจำเนื้อหาในระยะยาว (long-term memory) ได้ดีกว่าการอ่านเพียงอย่างเดียว เพราะเป็นการตอกย้ำข้อมูลเข้าสู่สมองหลายครั้ง
- การได้ยินเสียงตัวเองอ่านจะช่วยดึงสมาธิให้จดจ่ออยู่กับเนื้อหามากขึ้น ลดโอกาสในการเหม่อลอย
-
เข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งขึ้น:
- เมื่อเราอ่านออกเสียง หรือได้ยินเสียงอธิบาย เรามักจะประมวลผลข้อมูลอย่างช้าๆ และถี่ถ้วนขึ้น ทำให้เราจับใจความสำคัญและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเนื้อหาได้ดีขึ้น
- การฟังช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะวิชาที่ต้องทำความเข้าใจเป็นลำดับขั้นตอน
-
พัฒนาทักษะการฟังและการพูด:
- การฟังเนื้อหาที่ซับซ้อนบ่อยๆ จะช่วยฝึกทักษะการจับใจความสำคัญ และการคิดวิเคราะห์
- การอัดเสียงตัวเองอ่านหรือสรุปเนื้อหาด้วยเสียง จะช่วยฝึกการเรียบเรียงความคิด การใช้ภาษา และพัฒนาทักษะการนำเสนอในอนาคต
-
สร้างความมั่นใจในการนำเสนอและการพูดในที่สาธารณะ:
- เมื่อน้องๆ คุ้นเคยกับการใช้เสียงของตัวเองในการสื่อสารความรู้ ความมั่นใจในการพูดตอบคำถามในห้องเรียน หรือการนำเสนอหน้าชั้นก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
-
เหมาะสำหรับผู้เรียนทุกประเภท แต่โดดเด่นสำหรับ Auditory Learners:
- น้องๆ ที่เรียนรู้ได้ดีจากการฟังจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากเทคนิคนี้ แต่สำหรับน้องๆ ที่ถนัดแบบอื่น การใช้เสียงก็เป็นช่องทางเสริมที่ดีเยี่ยมในการตอกย้ำความเข้าใจ
-
ลดความเบื่อหน่ายและสร้างความสนุกในการเรียน:
- การเปลี่ยนจากการอ่านเฉยๆ มาเป็นการฟัง หรือสร้างสรรค์เสียงของตัวเอง จะช่วยให้การเรียนไม่น่าเบื่อและรู้สึกสนุกกับการทบทวนบทเรียนมากขึ้น
เห็นไหมครับว่า เสียงช่วยเรียนรู้ ได้มากมายจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องของความจำ แต่ยังรวมถึงการพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญด้วย ทีนี้เราไปดูเทคนิคที่ทำได้จริงกันเลยดีกว่า!
5 เทคนิคพิชิตการเรียนด้วย 'เสียงช่วยเรียนรู้' ที่ทำได้จริง!
ถึงเวลาลงมือทำจริงแล้วครับ! พี่ๆ มี 5 เทคนิคที่จะช่วยให้น้องๆ และคุณพ่อคุณแม่นำพลังของ เสียงช่วยเรียนรู้ ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเตรียมพร้อมสอบเข้า ม.1 ได้อย่างมั่นใจ
1. เทคนิค 'อัดเสียงตัวเองอ่าน': เสียงของเรานี่แหละคือสุดยอดติวเตอร์ส่วนตัว!
นี่คือเทคนิคยอดฮิตและได้ผลจริงที่พี่ๆ อยากแนะนำเป็นอันดับแรกเลยครับ การที่น้องๆ ได้อัดเสียงตัวเองอ่านเนื้อหาที่เราต้องการจะจำ จะเป็นการบังคับให้สมองประมวลผลข้อมูลถึงสองครั้ง คือทั้งการอ่านและฟังไปพร้อมกัน ทำให้จำได้แม่นขึ้น และยังเป็นเหมือนมีติวเตอร์ส่วนตัวที่พูดในภาษาที่เราคุ้นเคยที่สุดด้วย
ทำอย่างไร?
- อ่านออกเสียงอย่างตั้งใจ: เลือกบทเรียนหรือเนื้อหาที่น้องๆ ต้องการทบทวน เช่น เนื้อหาวิทยาศาสตร์ สังคม หรือภาษาไทย อ่านออกเสียงให้ชัดเจน ช้าๆ และเน้นคำสำคัญ อาจจะอ่านเฉพาะส่วนที่เป็นใจความสำคัญ หรือสรุปเป็นประโยคสั้นๆ ก็ได้
- บันทึกเสียง: ใช้โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์บันทึกเสียง หรือแอปพลิเคชันบันทึกเสียงบนคอมพิวเตอร์ อัดเสียงที่เราอ่านเอาไว้
- ฟังซ้ำๆ: นี่คือหัวใจสำคัญครับ! หาเวลาว่างๆ เช่น ตอนเดินทางไปโรงเรียน ตอนพักกลางวัน ตอนออกกำลังกาย หรือก่อนนอน เปิดเสียงที่อัดไว้ฟังซ้ำๆ
- จดสรุปและแก้ไข: ขณะที่ฟัง ถ้าเจอจุดไหนที่ยังไม่เข้าใจ หรือพบว่าตัวเองอ่านผิดพลาด ก็สามารถกดหยุดและจดบันทึก หรือแก้ไขส่วนที่อัดไว้ได้เลย
ประโยชน์เพิ่มเติม:
- ตรวจสอบความเข้าใจ: การอัดเสียงตัวเองอ่านจะบังคับให้เราตั้งใจอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาจริงๆ เพราะถ้าเราไม่อ่านด้วยความเข้าใจ เสียงที่อัดออกมาก็จะฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ
- ระบุจุดอ่อน: เวลาที่เราฟังเสียงตัวเองอ่าน เราจะสามารถจับได้ว่าส่วนไหนที่เรายังอ่านตะกุกตะกัก หรือเสียงไม่มั่นใจ นั่นหมายความว่าเรายังไม่แม่นเนื้อหาส่วนนั้นพอ
- ปรับความเร็วได้: บางแอปพลิเคชันให้เราปรับความเร็วในการเล่นเสียงได้ ทำให้เราสามารถฟังซ้ำในความเร็วที่เหมาะสมกับการทบทวนของตัวเอง
ลองเริ่มจากวิชาที่น้องๆ ไม่ถนัด หรือเนื้อหาที่ต้องจำเยอะๆ ก่อนนะครับ แล้วจะเห็นว่าการที่ เสียงช่วยเรียนรู้ ผ่านการอัดเสียงตัวเองอ่านนั้นได้ผลดีเกินคาดจริงๆ
2. 'สรุปเป็นเพลง/กลอน': ใส่ทำนองให้ความรู้จำง่ายขึ้น
ใครว่าการเรียนต้องน่าเบื่อ? ถ้า เสียงช่วยเรียนรู้ ได้ดี ลองใส่ทำนองเพลงหรือสัมผัสของกลอนเข้าไปดูสิครับ วิธีนี้จะช่วยให้เนื้อหาที่แห้งๆ กลายเป็นเรื่องที่สนุกและจำง่ายขึ้นเยอะ เหมือนกับที่เราจำเพลงโปรดได้ขึ้นใจนั่นแหละครับ
ทำอย่างไร?
- เลือกเนื้อหาที่อยากจำ: อาจจะเป็นสูตรคณิตศาสตร์ กฎวิทยาศาสตร์ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ หรือชื่อจังหวัดต่างๆ
- แต่งเนื้อร้อง/กลอน: ลองนำข้อมูลเหล่านั้นมาเรียบเรียงเป็นเนื้อร้องสั้นๆ หรือกลอนที่มีสัมผัสคล้องจองกัน
- ใส่ทำนอง: ใช้ทำนองเพลงที่น้องๆ ชื่นชอบ หรือทำนองเพลงง่ายๆ ที่เราคุ้นเคย แล้วร้องเนื้อหาที่แต่งขึ้นมา
- อัดเสียงและฟังซ้ำ: อัดเพลงหรือกลอนที่แต่งขึ้นมา แล้วเปิดฟังซ้ำๆ บ่อยๆ รับรองว่าเนื้อหาจะซึมเข้าไปในสมองได้เร็วกว่าที่คิด
วิธีนี้อาจจะดูแปลกๆ ในตอนแรก แต่เชื่อพี่เถอะครับว่าถ้าได้ลองแล้ว น้องๆ จะสนุกกับการจำ และพบว่า เสียงช่วยเรียนรู้ ในรูปแบบเพลงนี้มีประสิทธิภาพสูงมาก โดยเฉพาะสำหรับน้องๆ ที่ชอบดนตรี
3. 'Podcast เพื่อการศึกษา': ฟังเพลินๆ แต่ความรู้แน่นปึ้ก!
ยุคนี้อะไรๆ ก็เป็น Podcast ครับ! ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการศึกษา มี Podcast ดีๆ มากมายที่นำเสนอเนื้อหาวิชาการในรูปแบบที่เข้าใจง่าย สนุก และเป็นกันเอง การฟัง Podcast จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ เสียงช่วยเรียนรู้ ได้อย่างมีคุณภาพโดยที่เราไม่ต้องลงแรงมากนัก
ทำอย่างไร?
- ค้นหา Podcast ที่เกี่ยวข้อง: ลองค้นหา Podcast เกี่ยวกับวิชาวิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่วิชาคณิตศาสตร์ที่อธิบายแนวคิดยากๆ ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย
- เลือกฟังตอนที่น่าสนใจ: เลือกตอนที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนที่เรากำลังทบทวน หรือหัวข้อที่น้องๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจ
- ฟังในเวลาว่าง: เปิดฟังตอนเดินทาง ตอนกินข้าว หรือตอนออกกำลังกาย ให้ความรู้ซึมซับไปกับกิจวัตรประจำวัน
- จดบันทึก/สรุป: ถ้าเจอประเด็นที่น่าสนใจมากๆ หรือเป็นเนื้อหาสำคัญ ลองจดบันทึกย่อๆ หรือสรุปด้วยเสียงตัวเองเพิ่มเติม
การฟัง Podcast ไม่ใช่แค่การเรียน แต่ยังเป็นการเปิดโลกทัศน์และทำให้เราได้ยินมุมมองใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยเสริมความเข้าใจและทำให้ เสียงช่วยเรียนรู้ ได้อย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น
4. 'อ่านออกเสียงกับเพื่อน/ผู้ปกครอง': สร้างวงสนทนาแห่งความรู้
การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเรียนคนเดียวนะครับ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็เป็นอีกหนึ่งพลังที่ทำให้ เสียงช่วยเรียนรู้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองชวนเพื่อน หรือคุณพ่อคุณแม่มาอ่านออกเสียงด้วยกันดูสิครับ
ทำอย่างไร?
- ผลัดกันอ่าน: เลือกบทเรียนเดียวกัน แล้วผลัดกันอ่านคนละย่อหน้า หรือคนละหน้า
- อธิบายให้กันฟัง: หลังจากอ่านจบหนึ่งส่วน ลองให้อีกฝ่ายอธิบายเนื้อหาที่เพิ่งอ่านไปให้ฟัง ซึ่งเป็นการฝึกการทบทวนและเรียบเรียงความคิดด้วยเสียง
- ตั้งคำถามและตอบคำถาม: ชวนกันตั้งคำถามจากเนื้อหาที่อ่าน และช่วยกันหาคำตอบ การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยเสียงจะช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
- ทำ Quiz หรือ Mind Map ด้วยเสียง: ลองผลัดกันถามตอบแบบ Quiz ด้วยเสียง หรือสรุปเนื้อหาเป็น Mind Map แล้วอัดเสียงอธิบายแต่ละกิ่งของ Mind Map
วิธีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ เสียงช่วยเรียนรู้ ได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และทำให้น้องๆ ได้รับการแก้ไขข้อสงสัยได้ทันทีด้วยครับ
5. 'ใช้แอปพลิเคชันช่วยฟัง': เทคโนโลยีดีๆ ที่ทำให้ 'เสียงช่วยเรียนรู้' ง่ายขึ้นเยอะ!
ในยุคดิจิทัลแบบนี้ มีแอปพลิเคชันดีๆ มากมายที่ถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ด้วยเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนข้อความให้เป็นเสียงพูด (Text-to-Speech) ซึ่งเป็นอีกช่องทางที่ทำให้ เสียงช่วยเรียนรู้ ได้อย่างง่ายดาย
ทำอย่างไร?
- แอปพลิเคชัน Text-to-Speech: น้องๆ สามารถนำไฟล์เอกสาร PDF, Word หรือแม้แต่ข้อความที่ก๊อปปี้มาจากอินเทอร์เน็ต ไปวางในแอปพลิเคชัน Text-to-Speech แล้วให้แอปอ่านออกเสียงให้ฟัง
- แอปพลิเคชันบันทึกเสียง: เลือกใช้แอปพลิเคชันบันทึกเสียงที่มีฟังก์ชันการจัดระเบียบไฟล์ การตัดต่อเสียง หรือการเพิ่มโน้ตเข้าไปในไฟล์เสียงได้
- แอปพลิเคชัน Audiobook: แม้จะไม่ได้เน้นเนื้อหาวิชาการโดยตรง แต่การฟังหนังสือเสียงก็ช่วยฝึกทักษะการฟังและเพิ่มคลังคำศัพท์ได้ดี
การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดภาระในการอ่านซ้ำๆ และทำให้ เสียงช่วยเรียนรู้ เข้าถึงได้ง่ายขึ้นมาก ลองค้นหาแอปพลิเคชันที่เหมาะสมกับความต้องการของน้องๆ ดูนะครับ
คุณพ่อคุณแม่จะช่วยสนับสนุน 'การใช้เสียงช่วยเรียนรู้' ของน้องๆ ได้อย่างไร?
แน่นอนครับว่าการสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้น้องๆ ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ คุณพ่อคุณแม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมการใช้ เสียงช่วยเรียนรู้ ของน้องๆ ได้ดังนี้ครับ
- เป็นผู้ฟังที่ดี: เมื่อน้องๆ อัดเสียงตัวเองอ่าน หรือสรุปเนื้อหา คุณพ่อคุณแม่ลองเปิดใจฟัง และให้ฟีดแบ็กอย่างสร้างสรรค์ อาจจะไม่ต้องจับผิด แต่เป็นการชื่นชมและให้กำลังใจ
- จัดหาสื่อและอุปกรณ์ที่เหมาะสม: ไม่ว่าจะเป็นไมโครโฟนคุณภาพดี หูฟังที่ใส่สบาย หรือแนะนำแอปพลิเคชันบันทึกเสียง/Text-to-Speech ที่ใช้งานง่าย การมีอุปกรณ์ที่พร้อมใช้จะช่วยกระตุ้นให้น้องๆ อยากลองใช้เทคนิคนี้มากขึ้น
- ให้กำลังใจและชื่นชม: ทุกความพยายามของน้องๆ ควรได้รับการชื่นชมครับ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย การให้กำลังใจจะช่วยให้น้องๆ มีแรงใจที่จะเรียนรู้และพัฒนาต่อไป
- สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ด้วยเสียง: อาจจะเป็นการกำหนดช่วงเวลาที่เงียบสงบในบ้านให้น้องๆ ได้อัดเสียงหรือฟังทบทวนบทเรียนได้อย่างเต็มที่
- เป็นแบบอย่าง: คุณพ่อคุณแม่เองก็สามารถลองใช้เทคนิคการฟังเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้วเล่าให้น้องๆ ฟัง เพื่อให้น้องๆ เห็นว่าการเรียนรู้ด้วยเสียงเป็นเรื่องที่ทำได้จริงและมีประโยชน์สำหรับทุกคน
การสนับสนุนที่อบอุ่นจากครอบครัว จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้น้องๆ กล้าที่จะลองสิ่งใหม่ๆ และค้นพบว่าการใช้ เสียงช่วยเรียนรู้ นั้นมีประโยชน์และสนุกสนานแค่ไหนครับ
บทสรุป: ปลุกพลังเสียงในตัวคุณ เพื่อการเรียนรู้ที่แตกต่างและจำแม่น!
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเทคนิคการใช้ เสียงช่วยเรียนรู้ ที่พี่ๆ TidMor1 นำมาฝากกันในวันนี้? หวังว่าน้องๆ และคุณพ่อคุณแม่จะเห็นแล้วว่าพลังของเสียงนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา และสามารถนำมาปรับใช้กับการเตรียมสอบเข้า ม.1 ได้อย่างมีประสิทธิภาพเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นการอัดเสียงตัวเองอ่าน สรุปเป็นเพลง ฟัง Podcast หรือแม้แต่การพูดคุยทบทวนบทเรียนกับเพื่อนๆ หรือผู้ปกครอง ล้วนเป็นวิธีที่ช่วยให้เราเข้าใจ จดจำ และรู้สึกสนุกกับการเรียนมากขึ้น
การเรียนรู้ไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียวครับ การที่เราค้นพบวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง จะช่วยลดความเครียด เพิ่มความมั่นใจ และทำให้การเตรียมสอบไม่เป็นเรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไป ขอให้น้องๆ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ดูนะครับ ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างในทันที ลองเริ่มจากสิ่งที่ถนัดและรู้สึกสนุกก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ
พี่ๆ TidMor1 ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนนะครับ ขอให้การเตรียมสอบเข้า ม.1 เป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้ที่น่าจดจำ และเต็มไปด้วยความสนุก ขอให้น้องๆ ทุกคนประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ หากมีข้อสงสัย หรืออยากได้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเตรียมสอบ อย่าลืมแวะมาที่เว็บไซต์ TidMor1.com ของเรานะครับ เราพร้อมเป็นพี่เลี้ยงที่คอยสนับสนุนน้องๆ เสมอ!
และหากการวางแผนนี้ทำให้น้องๆ หรือคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าการตะลุยโจทย์วิทยาศาสตร์คือสิ่งสำคัญ ทีมงาน TidMor1 ขอแนะนำ "ข้อสอบเข้า ม.1 วิทยาศาสตร์ 3,000 ข้อ" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบที่หลากหลาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ TidMor1.com นะครับ