การใช้ เสียง ช่วยในการเรียนรู้ เช่น การอัดเสียงตัวเองอ่าน

เขียนโดย: ทีมงาน TidMor1 | เผยแพร่เมื่อ: 21 กันยายน 2568

เสียงช่วยเรียนรู้ เทคนิคการเรียน สอบเข้า ม.1 เตรียมสอบ อัดเสียงอ่าน

คุณพ่อคุณแม่และน้องๆ ที่น่ารักของพี่ๆ ทีมงาน TidMor1 เป็นยังไงกันบ้างครับ? เคยรู้สึกไหมว่าเวลา อ่านหนังสือเตรียมสอบเข้า ม.1 หรือวิชาที่ต้องจำเยอะๆ อย่างสังคม ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ชีววิทยา แม้จะอ่านทบทวนหลายรอบแล้ว แต่พอเจอข้อสอบจริงกลับนึกไม่ออก หรือจำสลับกันไปหมด? ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่แค่เราที่เป็นแบบนั้น น้องๆ อีกหลายคนก็ประสบปัญหาเดียวกัน

บางทีการเรียนรู้ด้วยสายตาอย่างเดียว อาจจะยังไม่พอสำหรับทุกคนนะครับ วันนี้พี่ๆ TidMor1 จะมาแนะนำอีกหนึ่งเคล็ดลับเด็ดที่อาจจะกลายเป็นตัวช่วยสำคัญให้การเรียนรู้ของน้องๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นหลายเท่าตัว นั่นก็คือ "การใช้ เสียง ช่วยในการเรียนรู้" นั่นเองครับ

เรามาดูกันว่าพลังของเสียงจะช่วยเปลี่ยนการอ่านหนังสือที่น่าเบื่อ ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ และช่วยให้น้องๆ เข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งขึ้นได้อย่างไรบ้าง เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปค้นพบมิติใหม่ของการเรียนรู้ที่สนุกและได้ผลไปพร้อมกันเลยครับ!

ทำไม 'เสียง' ถึงมีพลังในการเรียนรู้มากกว่าที่คุณคิด?

เคยสงสัยกันไหมครับว่าทำไมเราถึงจำเพลงโฆษณาที่ฟังไม่กี่ครั้งได้ขึ้นใจ หรือจำบทสวดที่เราเคยท่องมาตั้งแต่เด็กได้เป๊ะๆ? นั่นเป็นเพราะว่าสมองของเราไม่ได้ประมวลผลข้อมูลจากแค่การมองเห็นเพียงอย่างเดียวครับ แต่ยังเปิดรับและจดจำข้อมูลจาก "เสียง" ได้ดีไม่แพ้กันเลย

การที่ เสียงช่วยเรียนรู้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับหลายอย่างเลยครับ

  • กระตุ้นการทำงานของสมองหลายส่วน: เมื่อเราได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นเสียงของเราเอง หรือเสียงของผู้อื่น สมองจะถูกกระตุ้นในหลายพื้นที่พร้อมกัน ทั้งส่วนที่เกี่ยวกับภาษา การประมวลผลเสียง และความจำ ทำให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลที่แข็งแรงขึ้น
  • ลดสิ่งรบกวนภายนอก: การจดจ่ออยู่กับเสียงช่วยให้เรามีสมาธิมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเราฟังผ่านหูฟัง จะช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้างลง ทำให้ใจจดจ่ออยู่กับเนื้อหาที่กำลังเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
  • สร้างความหลากหลายในการรับข้อมูล: คนแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่ถนัดไม่เหมือนกัน บางคนถนัดมอง (Visual Learner) บางคนถนัดลงมือทำ (Kinesthetic Learner) และบางคนถนัดฟัง (Auditory Learner) การใช้เสียงเข้ามาเสริมจะช่วยตอบโจทย์ผู้เรียนกลุ่ม Auditory Learner ได้เป็นอย่างดี และยังเป็นการเพิ่มช่องทางการรับข้อมูลให้หลากหลาย ทำให้สมองมีโอกาสจดจำได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะถนัดแบบไหนก็ตาม
  • เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา: แค่มีหูฟังและอุปกรณ์เล่นเสียง น้องๆ ก็สามารถทบทวนบทเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นบนรถเมล์ ตอนเดินเล่น หรือแม้แต่ตอนช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานบ้าน ทำให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์สูงสุด

ด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง การใช้เสียงจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างมากในการพัฒนาการเรียนรู้และช่วยให้น้องๆ สอบเข้า ม.1 ได้อย่างมั่นใจในทุกวิชาครับ

ส่องประโยชน์ล้นหลามเมื่อ 'เสียงช่วยเรียนรู้' น้องๆ จะได้อะไรบ้าง?

นอกเหนือจากเหตุผลทางสมองและจิตวิทยาแล้ว การนำ เสียงช่วยเรียนรู้ มาใช้ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งจะช่วยให้น้องๆ ได้เปรียบในการเตรียมตัวสอบ และพัฒนาทักษะที่สำคัญในระยะยาวด้วยครับ

  • เพิ่มประสิทธิภาพการจำและการจดจ่อ:
    • การฟังซ้ำๆ ช่วยเสริมการจดจำเนื้อหาในระยะยาว (long-term memory) ได้ดีกว่าการอ่านเพียงอย่างเดียว เพราะเป็นการตอกย้ำข้อมูลเข้าสู่สมองหลายครั้ง
    • การได้ยินเสียงตัวเองอ่านจะช่วยดึงสมาธิให้จดจ่ออยู่กับเนื้อหามากขึ้น ลดโอกาสในการเหม่อลอย
  • เข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งขึ้น:
    • เมื่อเราอ่านออกเสียง หรือได้ยินเสียงอธิบาย เรามักจะประมวลผลข้อมูลอย่างช้าๆ และถี่ถ้วนขึ้น ทำให้เราจับใจความสำคัญและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเนื้อหาได้ดีขึ้น
    • การฟังช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะวิชาที่ต้องทำความเข้าใจเป็นลำดับขั้นตอน
  • พัฒนาทักษะการฟังและการพูด:
    • การฟังเนื้อหาที่ซับซ้อนบ่อยๆ จะช่วยฝึกทักษะการจับใจความสำคัญ และการคิดวิเคราะห์
    • การอัดเสียงตัวเองอ่านหรือสรุปเนื้อหาด้วยเสียง จะช่วยฝึกการเรียบเรียงความคิด การใช้ภาษา และพัฒนาทักษะการนำเสนอในอนาคต
  • สร้างความมั่นใจในการนำเสนอและการพูดในที่สาธารณะ:
    • เมื่อน้องๆ คุ้นเคยกับการใช้เสียงของตัวเองในการสื่อสารความรู้ ความมั่นใจในการพูดตอบคำถามในห้องเรียน หรือการนำเสนอหน้าชั้นก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  • เหมาะสำหรับผู้เรียนทุกประเภท แต่โดดเด่นสำหรับ Auditory Learners:
    • น้องๆ ที่เรียนรู้ได้ดีจากการฟังจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากเทคนิคนี้ แต่สำหรับน้องๆ ที่ถนัดแบบอื่น การใช้เสียงก็เป็นช่องทางเสริมที่ดีเยี่ยมในการตอกย้ำความเข้าใจ
  • ลดความเบื่อหน่ายและสร้างความสนุกในการเรียน:
    • การเปลี่ยนจากการอ่านเฉยๆ มาเป็นการฟัง หรือสร้างสรรค์เสียงของตัวเอง จะช่วยให้การเรียนไม่น่าเบื่อและรู้สึกสนุกกับการทบทวนบทเรียนมากขึ้น

เห็นไหมครับว่า เสียงช่วยเรียนรู้ ได้มากมายจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องของความจำ แต่ยังรวมถึงการพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญด้วย ทีนี้เราไปดูเทคนิคที่ทำได้จริงกันเลยดีกว่า!

5 เทคนิคพิชิตการเรียนด้วย 'เสียงช่วยเรียนรู้' ที่ทำได้จริง!

ถึงเวลาลงมือทำจริงแล้วครับ! พี่ๆ มี 5 เทคนิคที่จะช่วยให้น้องๆ และคุณพ่อคุณแม่นำพลังของ เสียงช่วยเรียนรู้ ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเตรียมพร้อมสอบเข้า ม.1 ได้อย่างมั่นใจ

1. เทคนิค 'อัดเสียงตัวเองอ่าน': เสียงของเรานี่แหละคือสุดยอดติวเตอร์ส่วนตัว!

นี่คือเทคนิคยอดฮิตและได้ผลจริงที่พี่ๆ อยากแนะนำเป็นอันดับแรกเลยครับ การที่น้องๆ ได้อัดเสียงตัวเองอ่านเนื้อหาที่เราต้องการจะจำ จะเป็นการบังคับให้สมองประมวลผลข้อมูลถึงสองครั้ง คือทั้งการอ่านและฟังไปพร้อมกัน ทำให้จำได้แม่นขึ้น และยังเป็นเหมือนมีติวเตอร์ส่วนตัวที่พูดในภาษาที่เราคุ้นเคยที่สุดด้วย

ทำอย่างไร?

  1. อ่านออกเสียงอย่างตั้งใจ: เลือกบทเรียนหรือเนื้อหาที่น้องๆ ต้องการทบทวน เช่น เนื้อหาวิทยาศาสตร์ สังคม หรือภาษาไทย อ่านออกเสียงให้ชัดเจน ช้าๆ และเน้นคำสำคัญ อาจจะอ่านเฉพาะส่วนที่เป็นใจความสำคัญ หรือสรุปเป็นประโยคสั้นๆ ก็ได้
  2. บันทึกเสียง: ใช้โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์บันทึกเสียง หรือแอปพลิเคชันบันทึกเสียงบนคอมพิวเตอร์ อัดเสียงที่เราอ่านเอาไว้
  3. ฟังซ้ำๆ: นี่คือหัวใจสำคัญครับ! หาเวลาว่างๆ เช่น ตอนเดินทางไปโรงเรียน ตอนพักกลางวัน ตอนออกกำลังกาย หรือก่อนนอน เปิดเสียงที่อัดไว้ฟังซ้ำๆ
  4. จดสรุปและแก้ไข: ขณะที่ฟัง ถ้าเจอจุดไหนที่ยังไม่เข้าใจ หรือพบว่าตัวเองอ่านผิดพลาด ก็สามารถกดหยุดและจดบันทึก หรือแก้ไขส่วนที่อัดไว้ได้เลย

ประโยชน์เพิ่มเติม:

  • ตรวจสอบความเข้าใจ: การอัดเสียงตัวเองอ่านจะบังคับให้เราตั้งใจอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาจริงๆ เพราะถ้าเราไม่อ่านด้วยความเข้าใจ เสียงที่อัดออกมาก็จะฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ
  • ระบุจุดอ่อน: เวลาที่เราฟังเสียงตัวเองอ่าน เราจะสามารถจับได้ว่าส่วนไหนที่เรายังอ่านตะกุกตะกัก หรือเสียงไม่มั่นใจ นั่นหมายความว่าเรายังไม่แม่นเนื้อหาส่วนนั้นพอ
  • ปรับความเร็วได้: บางแอปพลิเคชันให้เราปรับความเร็วในการเล่นเสียงได้ ทำให้เราสามารถฟังซ้ำในความเร็วที่เหมาะสมกับการทบทวนของตัวเอง

ลองเริ่มจากวิชาที่น้องๆ ไม่ถนัด หรือเนื้อหาที่ต้องจำเยอะๆ ก่อนนะครับ แล้วจะเห็นว่าการที่ เสียงช่วยเรียนรู้ ผ่านการอัดเสียงตัวเองอ่านนั้นได้ผลดีเกินคาดจริงๆ

2. 'สรุปเป็นเพลง/กลอน': ใส่ทำนองให้ความรู้จำง่ายขึ้น

ใครว่าการเรียนต้องน่าเบื่อ? ถ้า เสียงช่วยเรียนรู้ ได้ดี ลองใส่ทำนองเพลงหรือสัมผัสของกลอนเข้าไปดูสิครับ วิธีนี้จะช่วยให้เนื้อหาที่แห้งๆ กลายเป็นเรื่องที่สนุกและจำง่ายขึ้นเยอะ เหมือนกับที่เราจำเพลงโปรดได้ขึ้นใจนั่นแหละครับ

ทำอย่างไร?

  • เลือกเนื้อหาที่อยากจำ: อาจจะเป็นสูตรคณิตศาสตร์ กฎวิทยาศาสตร์ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ หรือชื่อจังหวัดต่างๆ
  • แต่งเนื้อร้อง/กลอน: ลองนำข้อมูลเหล่านั้นมาเรียบเรียงเป็นเนื้อร้องสั้นๆ หรือกลอนที่มีสัมผัสคล้องจองกัน
  • ใส่ทำนอง: ใช้ทำนองเพลงที่น้องๆ ชื่นชอบ หรือทำนองเพลงง่ายๆ ที่เราคุ้นเคย แล้วร้องเนื้อหาที่แต่งขึ้นมา
  • อัดเสียงและฟังซ้ำ: อัดเพลงหรือกลอนที่แต่งขึ้นมา แล้วเปิดฟังซ้ำๆ บ่อยๆ รับรองว่าเนื้อหาจะซึมเข้าไปในสมองได้เร็วกว่าที่คิด

วิธีนี้อาจจะดูแปลกๆ ในตอนแรก แต่เชื่อพี่เถอะครับว่าถ้าได้ลองแล้ว น้องๆ จะสนุกกับการจำ และพบว่า เสียงช่วยเรียนรู้ ในรูปแบบเพลงนี้มีประสิทธิภาพสูงมาก โดยเฉพาะสำหรับน้องๆ ที่ชอบดนตรี

3. 'Podcast เพื่อการศึกษา': ฟังเพลินๆ แต่ความรู้แน่นปึ้ก!

ยุคนี้อะไรๆ ก็เป็น Podcast ครับ! ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการศึกษา มี Podcast ดีๆ มากมายที่นำเสนอเนื้อหาวิชาการในรูปแบบที่เข้าใจง่าย สนุก และเป็นกันเอง การฟัง Podcast จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ เสียงช่วยเรียนรู้ ได้อย่างมีคุณภาพโดยที่เราไม่ต้องลงแรงมากนัก

ทำอย่างไร?

  • ค้นหา Podcast ที่เกี่ยวข้อง: ลองค้นหา Podcast เกี่ยวกับวิชาวิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่วิชาคณิตศาสตร์ที่อธิบายแนวคิดยากๆ ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย
  • เลือกฟังตอนที่น่าสนใจ: เลือกตอนที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนที่เรากำลังทบทวน หรือหัวข้อที่น้องๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจ
  • ฟังในเวลาว่าง: เปิดฟังตอนเดินทาง ตอนกินข้าว หรือตอนออกกำลังกาย ให้ความรู้ซึมซับไปกับกิจวัตรประจำวัน
  • จดบันทึก/สรุป: ถ้าเจอประเด็นที่น่าสนใจมากๆ หรือเป็นเนื้อหาสำคัญ ลองจดบันทึกย่อๆ หรือสรุปด้วยเสียงตัวเองเพิ่มเติม

การฟัง Podcast ไม่ใช่แค่การเรียน แต่ยังเป็นการเปิดโลกทัศน์และทำให้เราได้ยินมุมมองใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยเสริมความเข้าใจและทำให้ เสียงช่วยเรียนรู้ ได้อย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น

4. 'อ่านออกเสียงกับเพื่อน/ผู้ปกครอง': สร้างวงสนทนาแห่งความรู้

การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเรียนคนเดียวนะครับ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็เป็นอีกหนึ่งพลังที่ทำให้ เสียงช่วยเรียนรู้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองชวนเพื่อน หรือคุณพ่อคุณแม่มาอ่านออกเสียงด้วยกันดูสิครับ

ทำอย่างไร?

  • ผลัดกันอ่าน: เลือกบทเรียนเดียวกัน แล้วผลัดกันอ่านคนละย่อหน้า หรือคนละหน้า
  • อธิบายให้กันฟัง: หลังจากอ่านจบหนึ่งส่วน ลองให้อีกฝ่ายอธิบายเนื้อหาที่เพิ่งอ่านไปให้ฟัง ซึ่งเป็นการฝึกการทบทวนและเรียบเรียงความคิดด้วยเสียง
  • ตั้งคำถามและตอบคำถาม: ชวนกันตั้งคำถามจากเนื้อหาที่อ่าน และช่วยกันหาคำตอบ การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยเสียงจะช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
  • ทำ Quiz หรือ Mind Map ด้วยเสียง: ลองผลัดกันถามตอบแบบ Quiz ด้วยเสียง หรือสรุปเนื้อหาเป็น Mind Map แล้วอัดเสียงอธิบายแต่ละกิ่งของ Mind Map

วิธีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ เสียงช่วยเรียนรู้ ได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และทำให้น้องๆ ได้รับการแก้ไขข้อสงสัยได้ทันทีด้วยครับ

5. 'ใช้แอปพลิเคชันช่วยฟัง': เทคโนโลยีดีๆ ที่ทำให้ 'เสียงช่วยเรียนรู้' ง่ายขึ้นเยอะ!

ในยุคดิจิทัลแบบนี้ มีแอปพลิเคชันดีๆ มากมายที่ถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ด้วยเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนข้อความให้เป็นเสียงพูด (Text-to-Speech) ซึ่งเป็นอีกช่องทางที่ทำให้ เสียงช่วยเรียนรู้ ได้อย่างง่ายดาย

ทำอย่างไร?

  • แอปพลิเคชัน Text-to-Speech: น้องๆ สามารถนำไฟล์เอกสาร PDF, Word หรือแม้แต่ข้อความที่ก๊อปปี้มาจากอินเทอร์เน็ต ไปวางในแอปพลิเคชัน Text-to-Speech แล้วให้แอปอ่านออกเสียงให้ฟัง
  • แอปพลิเคชันบันทึกเสียง: เลือกใช้แอปพลิเคชันบันทึกเสียงที่มีฟังก์ชันการจัดระเบียบไฟล์ การตัดต่อเสียง หรือการเพิ่มโน้ตเข้าไปในไฟล์เสียงได้
  • แอปพลิเคชัน Audiobook: แม้จะไม่ได้เน้นเนื้อหาวิชาการโดยตรง แต่การฟังหนังสือเสียงก็ช่วยฝึกทักษะการฟังและเพิ่มคลังคำศัพท์ได้ดี

การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดภาระในการอ่านซ้ำๆ และทำให้ เสียงช่วยเรียนรู้ เข้าถึงได้ง่ายขึ้นมาก ลองค้นหาแอปพลิเคชันที่เหมาะสมกับความต้องการของน้องๆ ดูนะครับ

คุณพ่อคุณแม่จะช่วยสนับสนุน 'การใช้เสียงช่วยเรียนรู้' ของน้องๆ ได้อย่างไร?

แน่นอนครับว่าการสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้น้องๆ ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ คุณพ่อคุณแม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมการใช้ เสียงช่วยเรียนรู้ ของน้องๆ ได้ดังนี้ครับ

  • เป็นผู้ฟังที่ดี: เมื่อน้องๆ อัดเสียงตัวเองอ่าน หรือสรุปเนื้อหา คุณพ่อคุณแม่ลองเปิดใจฟัง และให้ฟีดแบ็กอย่างสร้างสรรค์ อาจจะไม่ต้องจับผิด แต่เป็นการชื่นชมและให้กำลังใจ
  • จัดหาสื่อและอุปกรณ์ที่เหมาะสม: ไม่ว่าจะเป็นไมโครโฟนคุณภาพดี หูฟังที่ใส่สบาย หรือแนะนำแอปพลิเคชันบันทึกเสียง/Text-to-Speech ที่ใช้งานง่าย การมีอุปกรณ์ที่พร้อมใช้จะช่วยกระตุ้นให้น้องๆ อยากลองใช้เทคนิคนี้มากขึ้น
  • ให้กำลังใจและชื่นชม: ทุกความพยายามของน้องๆ ควรได้รับการชื่นชมครับ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย การให้กำลังใจจะช่วยให้น้องๆ มีแรงใจที่จะเรียนรู้และพัฒนาต่อไป
  • สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ด้วยเสียง: อาจจะเป็นการกำหนดช่วงเวลาที่เงียบสงบในบ้านให้น้องๆ ได้อัดเสียงหรือฟังทบทวนบทเรียนได้อย่างเต็มที่
  • เป็นแบบอย่าง: คุณพ่อคุณแม่เองก็สามารถลองใช้เทคนิคการฟังเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้วเล่าให้น้องๆ ฟัง เพื่อให้น้องๆ เห็นว่าการเรียนรู้ด้วยเสียงเป็นเรื่องที่ทำได้จริงและมีประโยชน์สำหรับทุกคน

การสนับสนุนที่อบอุ่นจากครอบครัว จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้น้องๆ กล้าที่จะลองสิ่งใหม่ๆ และค้นพบว่าการใช้ เสียงช่วยเรียนรู้ นั้นมีประโยชน์และสนุกสนานแค่ไหนครับ

บทสรุป: ปลุกพลังเสียงในตัวคุณ เพื่อการเรียนรู้ที่แตกต่างและจำแม่น!

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเทคนิคการใช้ เสียงช่วยเรียนรู้ ที่พี่ๆ TidMor1 นำมาฝากกันในวันนี้? หวังว่าน้องๆ และคุณพ่อคุณแม่จะเห็นแล้วว่าพลังของเสียงนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา และสามารถนำมาปรับใช้กับการเตรียมสอบเข้า ม.1 ได้อย่างมีประสิทธิภาพเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นการอัดเสียงตัวเองอ่าน สรุปเป็นเพลง ฟัง Podcast หรือแม้แต่การพูดคุยทบทวนบทเรียนกับเพื่อนๆ หรือผู้ปกครอง ล้วนเป็นวิธีที่ช่วยให้เราเข้าใจ จดจำ และรู้สึกสนุกกับการเรียนมากขึ้น

การเรียนรู้ไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียวครับ การที่เราค้นพบวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง จะช่วยลดความเครียด เพิ่มความมั่นใจ และทำให้การเตรียมสอบไม่เป็นเรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไป ขอให้น้องๆ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ดูนะครับ ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างในทันที ลองเริ่มจากสิ่งที่ถนัดและรู้สึกสนุกก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ

พี่ๆ TidMor1 ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนนะครับ ขอให้การเตรียมสอบเข้า ม.1 เป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้ที่น่าจดจำ และเต็มไปด้วยความสนุก ขอให้น้องๆ ทุกคนประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ หากมีข้อสงสัย หรืออยากได้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเตรียมสอบ อย่าลืมแวะมาที่เว็บไซต์ TidMor1.com ของเรานะครับ เราพร้อมเป็นพี่เลี้ยงที่คอยสนับสนุนน้องๆ เสมอ!

และหากการวางแผนนี้ทำให้น้องๆ หรือคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าการตะลุยโจทย์วิทยาศาสตร์คือสิ่งสำคัญ ทีมงาน TidMor1 ขอแนะนำ "ข้อสอบเข้า ม.1 วิทยาศาสตร์ 3,000 ข้อ" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบที่หลากหลาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ TidMor1.com นะครับ